Sunday, May 31, 2009

เรียนจบอะไรมา ?

เมื่อวานนัดทานข้าวกับญาติๆฝั่งคุณพ่อ ก็เลยได้เจอ ทิวไผ่ ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งตอนนี้เรียนอยู่ม.6 แล้ว ก็เลยคุยกันเรื่อง admission กับ คณะที่เรียนเล็กน้อย

ทิวไผ่ : พี่บุ๋น เรียนจบอะไรมา
พี่บุ๋น : พี่เรียนวิดยาอ่ะ ป.ตรี อย่างงั้น ป.โท อย่างงี้ บลา บลา บลา
ทิวไผ่ : .......จริงเหรอ ผมคิดว่าพี่บุ๋นเรียนสายศิลป์ มาตลอดเลยนะเนี่ย ผมคิดว่าพี่จบอักษรฯ
พี่บุ๋น : (นึกในใจ ตูเนี่ยนะจบอักษรฯ) เหรอ... ทำไมคิดว่าพี่เรียนอักษรฯล่ะ
ทิวไผ่ : ก็พี่บุ๋นหน้าเหมือนเด็กศิลป์อ่ะ หน้าไม่เหมือนเด็กวิทย์
พี่บุ๋น : เเต่ก่อนพี่ใส่แว่นนะ ก็หน้าเหมือนเด็กวิทย์จะตายไป
ทิวไผ่ : เด็กศิลป์ใส่แว่นก็มีนะพี่
พี่บุ๋น : (นึกในใจ เออ...จะให้ตูเหมือนเด็กศิลป์ให้ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย) แสดงว่าพี่หน้าตาดีใช่ม๊าาาา เพราะเค้าว่าเด็กอักษรฯหน้าตาดีนิ
ทิวไผ่ : ประมาณนั้นอ่ะพี่

กรี๊ด ดีใจ ดีใจ มีเด็กชมหน้าตาดี (เกี่ยวมั้ยเนี่ย) เเต่ก็เคยมีคนทักนะว่า ไม่น่าเชื่อว่าหน้าอย่างเราเรียนจบโทวิดยา (ทำไมยะ หน้าอย่างงี้เรียนแบบนี้ไม่ได้เหรอ อย่าตัดสินคนจากหน้าตาดิ)

Sunday, May 24, 2009

ของที่ระลึก น้องฝึกงาน

ปีนี้เป็นปีแรกที่เรามีน้องฝึึกงาน (สำหรับงานของเรานะ) พี่เลี้ยงก็ไม่ใช่ใคร เรานี่เอง 555

ไม่รู้โชคร้ายหรือโชคดีที่เราได้เป็นพี่เลี้ยงของน้อง เพราะเราไม่รู้จะให้น้องทำอะไรอ่ะ เราอยากให้น้องได้ความรู้เยอะ ๆ ฉะนั้นงานปัญญาอ่อน พวกซีรอกซ์ ถ่ายเอกสารเราจะไม่ให้น้องทำ เเต่งานส่วนใหญ่ของเราก็เป็นเรื่องที่....ให้น้องช่วยไม่ได้ เพราะมันต้องมีความรู้เรื่องระบบของบริษัทค่อนข้างเยอะ เเต่คิดว่าเท่าที่ให้น้องทำๆ ก็โอเคเเหละน่า

น้องฝึกงานถึงสิ้นเดือนนี้ พี่ปอ หัวหน้าของเราก็เลยมอบหมายให้เราซื้อของที่ระลึกให้น้องเค้าหน่อย ให้ตังก์มาห้าร้อย เเต่คงซื้อไม่ถึงหรอก พอดีว่าเราจะไปจตุจักร ก็เลยไปเดินหาซื้อที่นั่นซะเลย

คิดว่าคนอย่างเราไปซื้อของขวัญเเล้วจะได้อะไรมาล่ะ หึหึ

ได้พวกกุญเเจหนังแมนๆ มาหนึ่งอัน ปั๋มชื่อน้องเค้าบนหนังด้วยนะ (น้องฝึกงานเป็นเด็กวิดวะ อ้อ...น้องผู้หญิงนะจ้ะ) เราว่ามันก็เข้ากะน้องเค้านะ เพราะเค้าไม่ได้หวานมาก แต่ก็ไม่ได้เเมน


จากนั้นได้ตุ๊กตาหน้าตาตลกมาอีกหนึ่งตัว ชอบมากๆ ขอบอก



รวมกันออกมาเป็นเช่นนี้




พรุ่งนี้จะไปเอากระดาษห่อของขวัญลายบริษัทห่อให้น้องเค้า 5555 ชอบบบบบ ถูกใจคนซื้อ เเต่ไม่รู้จะถูกใจคนจ่ายตังก์กะคนรับหรือป่าวนะ

Saturday, May 16, 2009

My Idea My Reward

ปีที่เเล้วที่บริษัทมีการจัด 50th year 50 idea contest ให้พนักงานเสนอไอเดียเพื่อปรับปรุงบริษัท (ขอเล่าbackground นิดนึง บริษัทเราเป็นบริษัทของฝรั่งเศส เปิดมา 50 ปีแล้ว แต่ออฟฟิศในไทยนี่เพิ่งตั้งมา 11 ปี) 50 idea ที่ชนะ เค้าจะนำมาปรับปรุงบริษัทจริงๆ เเละรางวัลสำหรับผู้ชนะก็คือ หุ้นบริษัท 50 หุ้น (อย่าคิดว่า โห.... 50 หุ้นเอง น้อยว่ะ เพราะว่ามันเป็นหุ้นในตลาดหุ้นฝรั่งเศสนะคะ ปีที่แล้วก่อนที่เศรษฐกิจทั่วโลกจะฟุบ หุ้นนึงน่ะ 50 ยูโรเลยนะ ลองคูณดู 50 หุ้น หุ้นละ 50 ยูโร ยูโรละ 50 บาท เป็นแสน!!!!)

บอกตามตรงว่าเราก็ไม่มีความคิดจะส่งไอเดียประกวดอะไรหรอก แต่....หัวหน้า assign ค่ะ เพราะแผนกที่เราทำงานน่ะ เป็นแผนกที่ต้อง improve system ต่างๆในบริษัทอยู่เเล้ว แกเลยบอกว่าให้ไปคิดๆดูว่างานที่เราทำ ปัญหาที่เราเจอ ระบบที่บริษัทเราน่าจะปรับปรุงมีอะไรมั้ย ให้ส่งอย่างน้อยคนละ 1 ไอเดีย ซึ่ง...เราก็คิดๆๆ ออกมา 1 ไอเดีย เเบบว่ามันเป็นไอเดียจริงๆนะ ไอเดียแบบดูเลื่อนลอยหน่อยๆ เราเสนอไปว่า อยากให้มี database สำหรับ share best practice ต่างๆทั้ง group เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ไม่เกิดซ้ำใน operaton center อื่น เเละช่วยลดเวลาในการแก้ปัญหา ส่งไปก็ไม่หวังอะไร เพราะถ้าไม่โดนสั่งให้ส่งก็คงไม่ส่งหรอก ปรากฎว่า ได้รางวัล อ่ะ

หลังจากได้รางวัล ชีวิตก็เหนื่อยขึ้น เริ่มจากต้องมานั่งเขียนบทความสั้นๆ เกี่ยวกับไอเดียของเราลงในวารสารของบริษัท (แล้วภาษาอังกฤษอีชั้นก็อ่อนแอเหลือเกิน ต้องให้หัวหน้ามาช่วยเกลาก่อนส่ง) หลังจากนั้นก็ต้องมานั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับหุ้นที่ได้ ทั้งเรื่องผลประโยชน์ condition ต่างๆ ที่สำคัญ ที่ปารีสดันใส่คำนำหน้าชื่อเราเป็น Mr. ทำให้เราต้องติดต่อกลับไปเพื่อให้ทางธนาคาร(ฝรั่งเศส) ที่จัดการเรื่องหุ้นเค้าเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อเราเป็น Ms. เราไม่รู้ว่าความผิดใคร ทำให้ชื่อเรากลายเป็นผู้ชาย แต่หลังจากนั้นก็มีการของให้เราเขียนบทความ เรื่อง เทศกาลสงกรานต์ เพื่อลงในวารสารของบริษัท (เพื่อเป็นการขอโทษที่ใส่ชื่อเราเป็นผู้ชาย) อยากบอกว่า....ไม่ต้องขอโทษก็ได้้้ ถ้าการขอโทษคือการเพิ่มงานให้เราเนี่ย ฮือๆ อย่างที่บอกไม่เก่งอังกฤษนะ ต้องมาเขียนบทความอีก เซ็ง

ความเหนืื่อยยังไม่จบสิ้น เมื่อเดือนที่เเล้วทางปารีสเมลมาบอกว่า ไอเดียของเราน่ะ เค้าทำออกมาเเล้วนะ ชื่อโปรเจค KM (ชื่อย่อนะ) เดี๋ยว project leader ชื่อคุณ Phillipe จะติดต่อเรามาอีกที หลังจากนั้น Phillipe ก็เมลมา แนะนำตัว ไอดีใจมากที่รู้ว่าโปรเจคนี้ initiate มาจากไอเดียยู บลา บลา บลา แล้วก็ส่งลิงก์ของโปรเจคนี้มาให้เราดู คือ.....โปรเจคทำมานานเเล้วไง ใกล้จะเสร็จแล้ว เราก็ไม่สนใจอะไร จนเมื่อวันพุธ Phillipe เมลมาอีกที ยูว่างวันไหน ไอจะ phone call meeting ด้วย 1 ชัวโมง เจี๊ยกกกกกกกก ประชุมอารายยยยยยย จะคุยอะไรกะชั้นนนนน แล้วคุยไรเยอะแยะตั้งชั่วโมงนึงงงงงง

หลังจากนัดวันได้ ก็คุยกะ Phillipe ตอนสี่โมงเย็นประเทศไทย คุยถึงห้าโมงสี่สิบ (ไหนบอกชั้น ชั่วโมงเดียวไงยะ) ตอนเเรกเรานึกว่าเฮียชื่อฟิลลิป แต่เฮียแกชื่อ ฟิลลิเป้ ค่ะ (ภาษาฝรั่งเศสนี่เนอะ) แกก็อธิบายโปรเจคให้ฟัง ถามความคาดหวังเรานิดหน่อย (ซึ่งเราก็ไม่รู้จะตอบว่าไง ฮือๆ) แล้วแกก็ถามว่า จะว่าอะไรมั้ย ถ้าไอจะเชิญยูมาเป็น task force ของโปรเจคนี้ด้วยในฐานะที่เป็นไอเดียของยู .............สมองกลวงๆของเราใช้เวลาประมวลผลเล็กน้อย จะตอบว่า ไม่ ได้ไงวะ สถานการณ์อย่างงี้มันก็ต้องตอบว่า โอเค ดิ ก็เลยตอบตกลงไป Phillipe เลยบอกว่า เราจะมี vdo conference กันทุกเดือน เดือนละสองครั้ง VDO CONFERENCE !!!!!!! ตายๆๆๆๆ ตายแน่ๆ เเค่โทรสับชั้นยังเครียดขนาดนี้เลย เเต่พอดีรอบหน้าที่เค้ามีทติ้งกันเราไม่ว่าง Phillipe เลยนัดเราว่า จะโทรมาอัพเดทให้เราฟังเเทน (สงสัยถ้ารอบไหนเราเข้าไม่ได้ แกต้องโทรมาตลอดเเน่เลย T_T) ไม่น่าได้รางวัลเลยตู


จริงๆมันก็ดีนะ ได้รางวัลเนี่ย คนรู้จักทั่วโลกเลย ได้ทำงานใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ แต่มันก็ตามมาด้วยความเหนื่อย เหนื่อยใจ เพราะเราไม่ถนัดภาษา (ถึงแม้จะทำงานกะต่างชาติมาสองปีกว่าเเล้วก็เหอะ) เหนื่อยกาย เพราะต้องใช้เวลางานมาทำส่วนนี้เพิ่ม แต่ก็จะพยายามละกัน lucky in game แล้ว ขอ lucky in love ด้วยเถอะ !!!!

ความเซ็ง 1 สำเนียงฝรั่งเศสฟังยากอ่ะ บางคำออกเสียงไม่เหมือนเรา ตัว I เค้าอ่านออกเสียงว่า อี พอคุยเรื่องระบบ หรือดาต้าเบส เราเลยฟังเค้าไม่รู้เรื่อง คืนนั้นกลับไปบ้าน ฝันเป็นภาษาอังกฤษ หลอนมากกกก

ความเซ็ง 2 พอเศรษฐกิจแย่ หุ้นมันตกอ่ะ ตอนได้รางวัลมันเหลือแค่ 25 ยูโรเอง (แต่ตอนนี้ขึ้นมา 30 แล้ว) หุ้นของเราเลยยังคงนอนนิ่งอยู่ในตลาดหุ้น รอวันหุ้นขึ้น

Monday, May 11, 2009

Fighting with my mac

หลังจากวิกฤติการณ์คอมฯพัง (desktop ที่บ้านน๊อก เปิดไม่ติด, laptop มรดกที่ได้รับจากพี่ชายกำลังจะสิ้นชีพเกินเยียวยา) เราก็ตัดสินใจซื้อ laptop เป็นของตัวเอง จากการที่ใช้ ipod อยู่แล้ว และค่อนข้างประทับใจบริการของน้องแอปเปิ้ล เราก็เลยต้ดสินใจผันตัวเข้าสู่ลัทธิแอปเปิ้ล ซื้อ macbook มาใช้ ก่อนซื้อก็ศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดีนะ เพราะกลัวว่าเอาไฟล์งานมาเปิดหรือแก้จะมีปัญหา แต่พอรู้ว่ามันไม่มีปัญหาก็โอเค ถอยมาเลย ตั้งแต่เดือนกุมภา

ด้วยความไม่คุ้นเคยก็ทะเลาะกับ mac ตัวนี้หลายรอบ เริ่มตั้งแต่ เปิดโน่นเปิดนี่ไม่เป็น (ก็มันไม่คุ้นอ่ะ) ดึงไฟล์เพลงจากไอพอดลงเครื่องไม่ได้ (อันนี้สันนิษฐานว่าเราลงโปรแกรมไม่สมบูรณ์ แต่พอลงโปรแกรมใหม่ หาไอพอดเครื่องเดิมไม่เจอ เลยยังไม่ได้ดึงไฟล์อีกรอบ) อัพบล๊อคตัวเองไม่ได้ (จริงๆได้ แต่มันจัด layout ไม่ได้เลย) ข้อนี้แก้ปัญหาโดยการ ใช้ firefox แทน safari แต่ทะเลาะกันเรื่องล่าสุดนี่สร้างความเซ็งเป็นอย่างมาก นั่นคือ....ไฟล์ word ที่เราเอามาจากที่ทำงาน บางไฟล์ (เน้นว่าบางไฟล์) เราไม่สามารถแก้ไขแล้วเซฟมันได้ เวลาเซฟมันจะขึ้นว่า out of memory or disk space ตลอด วันนี้เลยยกเครื่องไปที่ istudio พนักงานน่ารักมากๆ ช่วยกันแก้ปัญหาให้เรา แต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องโทรเข้าศูนย์ใหญ่ แก้ไปแก้มา ....สรุปว่า มันเป็นความไม่สมบูรณ์ของโปรแกรมเวอร์ชั่นนี้ ทำไรไม่ได้ คงต้องใช้โปรแกรมอื่นอย่าง iwork ทำงานแทน

เฮ้อ........เซ็ง แต่ยังดี เพราะมันไม่ได้เป็นทุกไฟล์อ่ะ เป็นแค่บางไฟล์ ซึ่งไม่แน่อาจจะเป็นที่ไฟล์ไม่ใช่โปรแกรม เพราะไฟล์งานเซ็ทนี้เซฟไม่ได้ยกชุดอ่ะ เราก็คงลองหาทางอื่นต่อไป หวังว่าเราจะไม่มีปัญหากันอีกนะ น้อง mac จ๋า

Saturday, May 9, 2009

เมื่อบุ๋นไปเป็นนางแบบ Portrait

เอาล่ะ ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เขียนกะเค้าซักที ประเดิมด้วยเรื่องเมื่อวานละกัน

เมื่อวานนี้เป็นวันวิสาขบูชา เราก็ไปสนามหลวงมา เเต่ไม่ได้ไปทำบุญอะไรกะเค้าหรอกนะ ไปเป็นนางแบบถ่ายรูปกับเพื่อนๆเเถวนั้น ที่มาของงานนี้ก็คือ เพื่อนของแอม ซึ่งเป็นชาวหนอน (กล้องแคนอน) ชักชวนเพื่อนๆให้ไปเป็นนางแบบถ่ายภาพ เราก็เลยติดสอยห้อยตามเค้าไปด้วย ตอนเเรกเพื่อนแอมบอกว่าตากล้องประมาณ 5 คน เราก็คิดว่าเป็นตากล้องมือใหม่ กำลังหัดถ่าย เหมือนตอนที่ไปเป็นแบบให้เจมส์กับศาสตรา แต่พอไปจริงๆแล้วไม่ใช่ มีตากล้อง 12 คน !!!! ซึ่งทุกคนเป็นสมาชิกชมรมแคนอนในห้องกล้องพันทิบอ่ะ เห็นอุปกรณ์น้าๆแต่ละคนแล้วก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่มือใหม่ เราเคยเป็นแบบ portrait มาบ้างนะ เวลาเป็นแบบมันก็เหนื่อย แต่ไม่เคยเหนื่อยเท่าวันนี้มาก่อนเลย

คิดดูนะ โดนรุมถ่ายโดยตากล้องสิบคน พอมองกล้องนี้ แล้วก็ต้องหันไปมองกล้องที่สอง กล้องที่สาม เพราะทุกกล้องต้องการ eye contact แน่นอน แถมบางกล้องไม่ได้ถ่ายรอบเดียว เราต้องยืนยิ้มหันไปมองกล้องโน้นกล้องนี้ตลอดเวลา ยิ้มจนปากสั่นเลยทีเดียว

นอกจากนั้น บางท่าที่โพสต์ ยังเป็นท่าคุกเข่า หรือยกขาข้างนึง ซึ่งโพสต์นานๆมันเมื่อยนะ แล้วอากาศก็ร้อนมากๆ เรียกว่าโพสต์ท่ากันจนปากสั่น ขาสั่นเลยล่ะ

นับถือพวกนางแบบทริป portrait มืออาชีพนะ คิดดูดิ เราไปเมื่อวานมีนางแบบ 5 คน เรามีเวลาพักช่วงน้าๆเค้าถ่ายคนอื่น เรายังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วพวกทริปที่นางแบบคนเดียวหรือสองคน ถ่ายทั้งเช้าทั้งบ่าย เค้าจะเหนื่อยขนาดไหนเนี่ย

ยังไม่ได้เห็นรูป เพราะต้องรอน้าๆเค้า process รูปก่อน เเล้วเค้าจะส่งมาให้ที่บ้าน รอลุ้นว่ารูปจะออกมาเป็นยังไง แล้วไว้จะเอามาลงให้ชมนะคะ วันนี้เอารูปที่เคยถ่ายมาลงให้ดู 1 รูป อิอิ