Thursday, September 29, 2011

My Life in Taiwan Part 7 : Enjoy Eating (1)

ต่อเรื่องของกิน และของกิน อิอิ

เนื่องจากว่า....ตอนไปรอบแรก (เดือนพฤษภา) ยังไม่ได้กินมังสวิรัติ งั้นก็พูดเรื่องอาหารมนุษย์ปกติก่อนแล้วแล้วกัน ของกินที่นี่ ก็จะเป็นอาหารจีน (เป็นอาหารจีนสไตล์ไต้หวันอ่ะนะ) ลักษณะบ้านเมืองเค้าก็จะคล้ายๆเวลาไปฮ่องกง ก็คือมีร้านอาหาร มีแผงลอยขายของกิน ร้านน้ำ (ชาไข่มุก) ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ แฮมเบอร์เกอร์อยู่ตลอด พูดง่ายๆว่า ไม่อดตายกันเลยทีเดียว

ของดังยอดฮิต อย่างหนึ่งก็คือ เต้าหู้เหม็น (ของโปรดคุณสามี เราก็ชอบด้วยเหมือนกัน อิอิ) ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกแล้ว ฮืออออ



เต้าหู้เหม็นมีประวัติความเป็นมามาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง โดยในปีที่ 8 แห่งรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิคังซี (พ.ศ. 2212) มีบัณฑิตชื่อ หวังจื้อเหอ เข้ามาสอบจอหงวนที่ปักกิ่ง แต่สอบไม่ได้ จึงตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ที่ปักกิ่งและหาเลี้ยงชีพด้วยการทำเต้าหู้ขาย จนกระทั่งเมื่อถึงวันหนึ่งในฤดูร้อนปีหนึ่ง เต้าหู้เกิดขายไม่หมดขึ้นมา หวังจื้อเหอจึงหั่นเต้าหู้เป็นชิ้นเล็กๆ โรยเกลือและชวงเจีย แล้วจึงเก็บไว้ในไห เมื่อเวลาผ่านไปนาน หวังจื้อเหอนึกถึงเต้าหู้ที่เก็บไว้ในไหขึ้นมา จึงลองนำออกมาดู พบว่าเต้าหู้มีกลิ่นเหม็นมากและเปลี่ยนเป็นสีเทาเขียว แต่พอลองชิมดูก็พบว่ามีรสชาติดี จึงได้ลองนำไปขายที่ตลาด และเต้าหู้เป็นก็เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน (ข้อมูลและภาพประกอบจาก http://th.wikipedia.org/wiki/เต้าหู้เหม็น)


เต้าหู้เหม็น มันอร่อยมากๆ บางคนเค้าว่ามันเหม็น แต่เราไม่รู้สึกอ่ะ รู้สึกแค่ว่า เออ มันมีกลิ่นนะ (อาจจะเป็นเพราะว่า เรากินของหมักดองเป็นประจำก็เลยชินมั้ง)


ของยอดฮิตอย่างอื่น....ไม่รู้แล้วอ่ะ 555 เพราะว่าเราไปแบบคนท้องถิ่นอ่ะ เรารู้แต่ว่าเราชอบ ซาลาเปาที่นี่มาก แป้งไม่เหมือนที่เมืองไทย (ที่เมืองไทยก็มีซาลาเปาสูตรไต้หวันนะ แต่เค้าจะเรียกว่าซาลาเปาทอดน้ำ)

ว่าแล้วก็รีวิวร้านอาหารไปซะเลยแล้วกัน

ร้านแรก เสี่ยวหลงเปา ร้าน Din Tai Fung




กลับมาเมืองไทยปุ๊ป เจอมาเปิดอยู่ที่ CTW เลยทันที




ร้านนี้ได้ Michelin star ด้วย ที่ไต้หวันก็คิวยาวเชียว ของดังก็คือ เสี่ยวหลงเปาหลากหลายไส้

เมนู




อันนี้เป็นไส้มันปู หรือไข่ปูประมาณเนี๊ย (ไม่ได้เป็นคนสั่งอ่ะ แต่มะม๊าบอกว่ามันเป็นมันปู) แพงนา



อันนี้ใส้ ผักอะไรซักอย่างมากับกุ้ง มันเลยสีออกเขียวๆ




ขิงฝอย เอาไว้ทานกับเสี่ยวหลงเปา (ต้องราดจิกโชว่ลงไปหน่อย)


อย่างอื่นก็มี อันนี้เป็นบะหมี่อะไรก็ไม่รู้ 555 (ขำตัวเอง โพสต์แต่ละอย่าง ไม่รู้จักชื่อ) ไอ้ก้อนๆนั่นคือเต้าหู้




เครื่องเคียง สั่งมะระ (อร่อยอ่ะ เค้าชอบกินมะระ) กับถั่วงอก





ของหวานดังของเค้า Steamed red bean rice cake เราว่ามันคล้ายๆขนมโก๋ เราไม่ชอบอ่ะ




มันเป็นร้านดังก็จริง แต่เราว่ามันไม่อร่อยอ่ะ 55555 ใครอยากลองไปทานได้ที่ CTW นะจ้ะ

อืม....พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นบล๊อกชวนชิมไป (มี multiply เป็นเรื่องกินอันเดียวก็พอ แต่ว่า....ไม่ได้อัพนานแล้วอ่ะ แหะๆ) ติดตามตอนต่อไปนะคะ เรื่องกินเราพูดได้ยาว 5555

Wednesday, September 28, 2011

My Life in Taiwan Part 6 : Enjoy Drinking !

พูดเรื่องอาหารการกินไปนิดหน่อยแล้ว ตอนนี้จะพูดแบบจัดเต็ม

เริ่มจาก.... เครื่องดิ่มก่อนก็แล้วกัน (ตามหัวเรื่อง)
ของที่สุดแสนจะ well known ในไต้หวันจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก "ชาไข่มุก" รสชาดไม่ต้องพูดถึงเพราะเมืองไทยก็มีขายฟะ ของไต้หวันแท้ๆ รสชาดเป็นไง ? ตอบเลยว่า ไม่รู้ 555 เพราะว่าไม่อยากกินอ่ะ แวะร้านชาไข่มุก แต่สั่งน้ำผลไม้อย่างอื่นแทนทุกที เราไม่ชอบกินไอ้เจ้าไข่มุกด้วยแหละ (แต่คุณสามีชอบ)




หน้าร้านชาไข่มุก เห็นมะๆ มีอย่างอื่นอีกเยอะแยะ (อ่านไม่ออกเหมือนกัน)





นอกจากชาไข่มุกแล้ว สิ่งที่คนนิยมดื่มกันมากก็คงจะเป็นกาแฟ ที่ไต้หวันมีร้านกาแฟเยอะมากๆ ขนาดใน7-11 ยังมีขายกาแฟสดเลย คิดดู

ไม่ได้ถ่ายรูปมาอ่ะ ลืมคิดไป (ไปไต้หวันเหมือนไปเยื่ยมญาติด้วยอ่ะ ไปไหนมาไหน ไม่ได้ถือกล้อง)




อันนี้เป็นมื้อเช้าวันหนึ่งของเราที่ร้านกาแฟ dante coffee (มีหลายสาขา)



กาแฟเย็นที่นี่ จะใส่น้ำแข็งกระจิ๊ดเดียว เหมือนที่เราเจอที่ยุโรป (อาจจะมีแต่เมืองไทยนี่แหละมั้ง ที่กาแฟเย็นมีน้ำแข็งล้นทะลัก) ไหนๆพูดถึงร้านกาแฟ dante แล้วก็ขอพูดถึงสิ่งที่ประทับใจที่เจอซะหน่อย เนื่องจากที่ไต้หวันน่ะ เค้าตื่นตัวกันเรื่อง recycle มากๆ รวมถึงพวกร้านอาหารต่างๆด้วย อย่างร้าน dante เนี่ย เวลาสั่งกาแฟกลับบ้าน เค้าไม่ได้ใส่ถาดหลุมๆรองให้แบบสตาร์บัคนะ แต่เค้าเอากล่องนมมาตัดๆ แล้วสวมไปแบบนี้



มันอาจจะดูตลก ถ้าเป็นเมืองไทย คนซื้อคงด่า แต่นี่เหมือนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆมากๆสำหรับประเทศนี้ ชอบนะ ใช้ของทุกอย่าง อย่างคุ้มค่า

เครื่องดื่มที่อร่อยอีกอย่างของที่นี่คือ น้ำมะระปั่น (อร่อยมากมาย ไม่ขมเลย มันเป็นมะระลูกขาวๆอ่ะ) ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกแล้ว ฮืออออออ ลองเซิร์ชดูในกูเกิ้ลนะ มีคนพูดถึงเยอะ

ถ่ายน้ำจากร้านอื่นมาแทน อันนี้เป็นน้ำมะเฟือง หวานแสบคอไปหน่อย เหมือนเป็นมะเฟืองแช่อิ่มอ่ะ ให้เราซดน้ำเชื่อม กับเนื้อมะเฟืองเป็นชิ้นๆ (ร้านนี้เปิดมานาน และเป็นร้านดัง แต่อย่าถามว่าอยู่ไหน ชื่ออะไรนะ เค้าไม่รู้)




ที่นี่คนนิยมกินยาคูลท์ มีหลายรสหลายแบบ รวมถึง ยาคูลท์นมจืด !!

อาจดูแล้วขัดกับจิตสำนึกคนไทยที่ว่า ยาคูลท์คือนมเปรี้ยว แต่นมจืดเค้าก็โอเคนะ อร่อยดี

Sunday, September 18, 2011

Thursday, September 15, 2011

My Life in Taiwan Part 4 : มังสวิรัติ

ไต้หวันเป็นประเทศที่อาหารอร่อยมากๆ (อาหารจีนอร่อยอยู่แล้ว) แถมร้านแปลกๆก็มีเยอะแยะ หลายๆคนอาจจะเคยได้ fwd mail ร้านที่ตกแต่งเป็นส้วม หรือว่า ร้านกาแฟที่เป็นคิตตี้ (สองร้านนี้อยู่ในไต้หวัน) คราวก่อนที่มา เรากินหลายอย่างมากมาย เพราะว่าญาติๆพาไปกิน เจ้าดังๆ ของขึ้นชื่อทั้งนั้น ในวงเล็บว่าของอร่อยของคนท้องถื่นนะ ฉะนั้น ร้านที่เราไปก็จะเป็นร้านบ้านๆหน่อย มีแต่คนไต้หวัน ไม่ได้มีนักท่องเที่ยว หรือเมนูภาษาอังกฤษอะไร
มาคราวนี้….ของกินอร่อยๆ แบบคราวที่แล้ว ไม่ได้ทาน เนื่องจากว่าติดสอยห้อยตามคุณสามีและทีมงานซึ่งกินมังสวิรัติ เที่ยวนี้เราเลยกินมังสวิรัติตลอดทุกมื้อ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินจริงๆจังๆเลยนะ เพราะเราไม่ชอบกิน หมี่ซั่ว และพวกหมี่กึง เทศกาลกินเจในเมืองไทยก็ไม่เคยกินกะเค้า (ถ้าใครเคยอ่านบล๊อกเก่าๆ อาจจะงงว่า อ้าว แล้วเอ็งบอกว่า กินมังสวิรัติทุกวันจันทร์ เอ็งกินอะไรฟะ ปกติวันจันทร์เราจะกินอาหารปกติ เพียงแต่ไม่ใส่เนื้อสัตว์อ่ะค่ะ เช่น ข้าวราดผัดผักโปะไข่ดาว ยากิโซบะไม่ใส่หมู เฟรนซ์ฟราย ขนมปัง เค้ก อะไรอย่างงี้) พอมากินที่ไต้หวัน ทัศนคติเรื่องอาหารมังสวิรัติเลยเปลี่ยนไป จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะว่าอร่อยมากกกกกกกก

เราไม่รู้ว่าอาหารมังสวิรัติ หรือ อาหารเจ ที่เมืองไทย อร่อยอย่างงี้รึป่าว เพราะไม่เคยกิน แต่เรารู้ว่าที่นี่อร่อยมากค่ะ แถมหากินง่ายมาก เพราะคนที่นี่นิยมกินกันพอสมควร (เรียกได้ว่าร้านอาหารมีเมนูมังสวิรัติ ควบคู่กับเมนูปกติเลยล่ะ) ขนาดร้าน ชาบู ชาบู ยังมีเซ็ทมังสวิรัติเลยคิดดู ภัตตาคารมังสวิรัติแบบบุฟเฟ่ตก็มี อาหารก็มีความหลากหลายไม่ใช่มีแต่สารพัดผัดผัก แล้วพวกอาหารเลียนแบบเนื้อสัตว์ที่นี่ เราว่าทำได้ดีมากเลยค่ะ รสชาตดี ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นแป้ง หรือก้อนอะไรดึ๋งๆ จริงๆการกินมังสวิรัติไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรานะ เพราะเราชอบกินเห็ด กินเต้าหู้ ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักๆในอาหารมังสวิรัติเลยล่ะ เราก็เลยมีความสุขดี

กินมังสวิรัติมาเกือบเดือน ไม่รู้สึกโหยหาเนื้อสัตว์เลยนะ แปลกดี แต่เราโหยหาอาหารไทยมากๆ อยากกินพวกแกงกะทิเผ็ดๆอ่ะ แกงเขียวหวาน ฉู่ฉี่ อะไรอย่างงี้ และ……อยากกินส้มตำจังเลย

แล้วมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในชีวิตมั้ย ? มีแน่ๆคือ ระบบขับถ่ายดีขึ้นเยอะ เพราะมีกากและเส้นใยเยอะขึ้น (มาก) สมดุลในร่างกายคิดว่าดีขึ้น เนื่องจากว่า อาหารจีนเค้าเน้นหลักสมดุลหยินหยางอ่ะนะ (ร้อนกับเย็น) ยกตัวอย่างเช่น เห็ดหูหนูซึ่งเป็นของเย็น เค้าก็จะผัดใส่ขิงซึ่งเป็นของร้อน ทำให้มีความสมดุลอะไรอย่างงี้เป็นต้น

เราว่าจะไปเจาะเลือดเช็คคลอเรสเตอรอลซะหน่อย ว่าลดลงรึป่าว (มันน่าจะลด เพราะว่าไม่ได้ทานของคลอเรสเตอรอลสูง อย่างของทอดๆ อาหารทะเล หรือว่าเครื่องใน) ถ้าลดก็ดี เพราะระดับคลอเรสเตอรอลเราสูงอ่ะ ส่วนน้ำหนัก…คาดว่าเพิ่ม เพราะว่า อยู่ดีกินดี มีคนเอาโน่นเอานี่มาให้กินทั้งวัน

Saturday, September 10, 2011

Miss and Mrs.

สมัยสาวๆ เคยพูดเล่นกับเพื่อนๆอยู่เสมอว่า ถ้าอายุสามสิบแล้วยังไม่ได้แต่งงาน ชั้นจะไปเรียนต่อปริญญาเอก จะได้เอาคำว่า ดอกเตอร์มาปิดคำว่านางสาว แล้วพออายุถึงสามสิบปุ๊ปก็ได้มีสามีเป็นของตัวเอง เหอๆๆ (เพราะงั้นก็ไม่ต้องเรียนต่อปริญญาเอกแล้วซิเรา)

ถึงแม้ว่ากฏหมายใหม่จะบอกว่า ผู้หญฺิงสามารถใช้นามสกุลเดิม รวมถึงไม่ต้องเปลี่ยนคำนำหน้าเป็นนางก็ได้ แต่เราก็ยังคงหัวโบราณ เพราะเรามองว่าตอนเราอายุ 35 หรือ 40 แล้วยังใช้คำนำหน้าว่านางสาวอยู่ มันเหมือนหญิงแก่ขึ้นคาน เหมือนที่เราชอบนินทาอาจารย์ป้าแก่ๆ (หนูขอโทษค่ะ ที่เคยแอบเม๊าท์อาจารย์) พูดง่ายๆก็คือ กลัวคนเม๊าท์เรานั่นเอง แหม...ก็มันจริงมั้ยล่ะ ใครมันจะมารู้ว่าคนนี้ คนนั้นแต่งงานรึยัง ถ้าไม่ได้มาถามประวัติกันจริงๆ จะมองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายก็ไม่แน่ไม่นอน คนใส่เล่นมีถมไป ดังนั้นเราก็เลยเลือกที่จะเปลี่ยนทั้งคำนำหน้า และ นามสกุล (การเปลี่ยนนามสกุล เราถือว่าเป็นการให้เกียรติบ้านสามี) ถึงแม้่ว่าคนรุ่นใหม่ๆ จะบอกว่ายุ่งยาก ต้องเปลี่ยนเอกสารราชการเยอะแยะ วุ่นวาย เสียเวลา หรือ บางคนบอกว่าไม่อยากเป็นนาง มันฟังดูแก๊แก่ แต่เรากลับคิดว่าไม่ยุ่งยากซักนิด แค่เสียเวลาไปติดต่อสถานที่ราชการนิดหน่อยเอง รุ่นแม่ รุ่นยาย เค้ายังทำกันได้เลย ทำไมแค่นี้เราจะทำไม่ได้


เมื่อวานเราก็เลยไปจัดการเปลี่ยนคำนำหน้ากับนามสกุลซะ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็น "นาง" ไปแล้วล่ะ ^ ^