Monday, August 29, 2011

My Life in Taiwan Part 3 : ตกลงเราชื่ออะไรกันแน่

มาอยู่ที่นี่ก็ต้องมีชื่อภาษาจีน ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ ทำไมต้องมีฟะ ฝรั่งเค้ายังใช้ชื่อฝรั่ง ไมเคิล ปีเตอร์ อะไรงี้ได้ เราก็ใช้ชื่อไทยเราซิ พอมาอยู่จริงๆก็เก็จเลยว่า มันไม่สะดวก เพราะเวลาเค้าเขียนชื่ออะไรกัน เค้าเขียนเป็นตัวหนังสือจีนสามตัวสั้นๆ (ลองเขียนชื่อเรา สงสัยที่ไม่พอ ชื่อจริงยาวเกิน) อีกอย่างนึง มันก็คงคล้ายๆกับที่เราเคยเห็นคุณครูที่โรงเรียนตั้งชื่อ นักเรียน AFS ที่มาจากต่างประเทศเป็นภาษาไทย จำได้แม่นแลย คนนึงชื่อ ซานตาน่า ก็ตั้งชื่อเค้าว่า สันติ อีกคนชื่อ อลิซาเบธ หรืออะไรนี่แหละ ก็ตั้งว่า อาลิสา เพราะมันเรียกง่าย เขียนง่ายดีล่ะมั้ง ชื่อจีนเราที่ คุณสามีให้ซินแสตั้งให้ เราชื่อว่า หวัง หมิ่นลี่ (แซ่หวัง เป็นแซ่ของปู่เราอ่ะ) พูดง่ายๆก็คือชื่อ หมิ่นลี่ ไอ้เราก็พยายามท่องให้ขึ้นใจ เพราะเดี๋ยวใครเรียกแล้วจะไม่หัน แต่เอาเข้าจริง ไม่มีใครเรียกซักคน

ชื่อที่หนึ่ง “เหวิน” ญาติๆไต้หวัน คราวที่แล้วเค้าเรียกเราว่า เหวิน ตอนนี้เค้าก็ยังคงติดเรียกเราว่าเหวินอยู่ (คำว่า บุ๋น ถ้าอ่านแบบจีนกลาง คือ เหวิน ก็จริงๆชื่อเล่นเรามันก็เป็นภาษาจีนอยู่แล้ว)

ชื่อที่สอง “ซ่าวสาว” เป็นคำเรียก ที่น้องสามี หรือคนอื่นๆ ที่คุยกับน้องสามีพูดถึงเรา หรือบางทีก็เรียกเราว่า ซ่าวสาวนี่เเหละ (ซ่าวสาว แปลว่า พี่สะใภ้)

ชื่อที่สาม “XXX ชี เจี๋ย” หรืออะไรประมาณเนี๊ย เราฟังไม่ชัด (XXX คือ ชื่อจีนของคุณสามี ขอเซ็นเซอร์หน่อย) ง่ายๆก็คือว่า ภรรยาคุณ XXX นั่นเอง อันนี้ก็คล้ายๆกับชื่อที่สอง คือ เป็นคำที่คนอื่นๆพูดถึงเรา

ชื่อที่สี่ “เสี่ยวเหวิน” เป็นชื่อเล่นของชื่อเล่นอีกที งงมั้ย คือว่า คุณสามีเค้าแนะนำว่า เราชื่อเสี่ยวเหวิน (แล้วจะตั้งชื่อหมิ่นลี่ทำไมหว่า ไม่มีคนรู้ซักคน) แล้วทำไมแนะนำว่าชื่อเหวิน ไม่ได้ก็ไม่รู้ งงๆ แต่ชื่อนี้ คือชื่อที่คนที่นี่เรียกเราอ่ะ

ชื่อที่ห้า (เยอะวุ๊ย) “เซิ่นเซิ๊น” เป็นชื่อที่ให้ลูกของแม่บ้านที่บ้านคุณสามีเรียก (ชีเป็นเด็กน้อย อายุขวบกว่าๆ) ฟังดูน่ารักเนอะ แต่เซิ่นเซิ๊นมันแปลว่า อาซิ่ม (โอย….ฟังแล้วเครียดเลยวุ้ย ดูแก่เกิ๊นนนนน รับไม่ได้) ก็เพราะว่าน้องเค้าเรียกปะป๊า กับมะม๊า ของคุณสามีว่า อากง กับอาม่า ไง (คุณสามีจะเทียบเป็นอาของน้องเค้าอ่ะ) เราก็เลยต้องกลายเป็นอาซิ่มไป

พูดไปพูดมาก็เลยสังเกตได้ว่า คนจีนเค้าไม่เรียกชื่อกัน อย่างคนไทยเนี่ย เราเรียกชื่อ อย่างเช่น พี่แบงก์ พี่ปอนด์ ป้าแดง ป้าเล็ก แต่คนจีนเค้าจะเรียกว่า พี่ใหญ่ พี่รอง ป้าใหญ่ ป้ารอง อะไรประมาณนี้ (นึกถึงหนังจีนซิ องค์ชายสี่ องค์ชายสาม) ดังนั้น… เราก็เลย ไม่รู้จักชื่อ ญาติๆคุณสามีซักคน 555 เพราะว่าเราไม่ได้เรียกชื่อกันนี่นา

Sunday, August 28, 2011

My Life in Taiwan Part 2 : หรือว่าเราจะเป็นอาร์ตตัวแม่

เวลาดูเดี่ยวไมโครโฟนทีไร ก็จะขำกับพฤติกรรมของสาวๆที่โน้สเอามาพูด เราก็เป็นเหมือนกัน (แต่เป็นบางอย่างนะ)

มาไต้หวันนี่ก็ขำตัวเอง ตอนแรกที่ยังปรับตัวไม่ได้นะ น้อยใจคุณสามีสามเวลาหลังอาหาร ว่าไม่ดูแล ไม่สนใจ ไม่เทคแคร์ ไม่ยอมเรียกกินข้าว เดินไปไหนมาไหนไม่ยอมบอก ทิ้งเราไว้คนเดียว บลาๆๆ น้อยใจแล้วเราก็ไม่เก็บไว้ด้วยนะ พออยู่กันสองคนก็คุยกะเค้าว่า เธอต้องเทคแคร์ชั้นนะ กินข้าวต้องรอนะ ไปไหนต้องเรียก ต้องบอก โน่นนี่นั่น เค้าก็บ่นๆเราแหละว่า โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ไม่ต้องสนใจกันขนาดนั้นก็ได้ เราก็ไม่ยอม ไม่ได้ ต้องอย่างงี้ๆๆๆ

ถึงเวลาพอปรับตัวได้ปั๊ป ดิชั้นนี่แหละ กินข้าว กินขนมก็ไม่เรียกคุณสามี (พอคุณสามีเรียกกิน หรือหยิบมาให้ ปรากฎว่าดิชั้นกินไปแล้วทุกที) อยากเดินไปไหนก็ไป ไม่เคยบอกกล่าว (คุณสามีต้องโทรตามหาตั้งสองครั้งว่าหายไปไหน) แถมพอคุณสามีบอกว่า จะไปห้องน้ำเดี๋ยวมา เรากลับนึกในใจว่า เออ ไปก็ไปซิิ มาบอกเราทำไม (มานั่งนึกๆดู เออว่ะ เราบอกเค้าเองนี่หว่า ว่าจะไปไหนต้องบอก)

ถึงว่าอ่ะนะ ผู้ชายเค้าถึงเอาใจผู้หญิงไม่ถูก อารมณ์แปรปรวนเหลือเกิน

Friday, August 26, 2011

ภาษาจีนจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย

จริงๆนะ ภาษาจีนจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย

ที่ว่าง่ายก็เพราะ….ประโยคเรียงง่ายๆสั้นๆ ไม่ต้องมีประธาน ไม่มี Tense คล้ายๆภาษาไทย เช่น ถามว่าจะไปไหน ก็พูดสั้นๆห้วนๆเลยว่า “ชวี่ หนา หลี่” (ชวี่ = ไป , หนา หลี่ = ที่ไหน) ไม่ต้องมาถาม “Where are you going?” ภาษาไม่ได้มีคำสุภาพหรือคำความหมายเหมือนกันเยอะแยะแบบไทย เช่น คำว่า เล็กน้อย ไทยก็พูดได้หลายแบบใช่มะ เล็กน้อย นิดหน่อย นิดๆหน่อยๆ นิดเดียว จิ๊ดนึง ฯลฯ อะไรงี้

ที่ว่ายากก็เพราะ….เค้าไม่ใช้ทับศัพย์กันเลยให้ตายเถอะ ทุกสิ่งอย่างแปลเป็นภาษาจีนหมด เช่น แฮมเบอเกอร์ เรียก ฮั่นเป่า ลาซานย่า ก็ไม่ได้เรียกว่า ลาซานย่า นะ (แต่เรียกว่าอะไรไม่รู้ เราจำไม่ได้) ขนาดชื่อบริษัทฝรั่ง เค้ายังแปลเป็นจีนเลย เช่น คอมพิวเตอร์ Apple เค้าก็ไม่ได้เรียกว่า แอ๊ปเปิ้ล แต่เค้าเรียกว่า ผิง กั่ว (ผิง กั่ว แปลว่า แอปเปิ้ล เรียกเหมือนแอปเปิ้ลที่เป็นผลไม้เลยอ่ะ ไอ้เราได้ยินเค้าพูดๆ กันก็นึกว่าเค้าคุยกันเรื่องผลไม้ ยังนึกในใจเรื่องแอปเปิ้ลนี่มีอะไรคุยกันนักหนาฟะ ที่แท้…พูดกันเรื่องคอม -_-“) นึกภาพถ้าเป็นคนไทย แล้วเรียกระบบปฎิบัติการวินโดว์ ว่าระบบปฎิบัติการหน้าต่างคงตลกน่าดู

ก็ค่อยๆหัดกันไป อีกหน่อยเราคงพูดได้อ่ะนะ

My Life in Taiwan Part 1 : ช๊านนน มาทำอะไรที่นี่

หายไปจากเมืองไทยนานเกือบเดือน…. เพราะตามมาอยู่กับคุณสามีที่ไต้หวันนั่นเอง มาอยู่อาทิตย์แรกยอมรับเลยว่าปรับตัวไม่ได้ เนื่องจากงานของคุณสามีช่วงนี้คือ การจัดงานแสดงของมูลนิธิ ทำให้ต้องออกบ้านแต่เช้า กลับบ้านดึกทุกวัน ซึ่งเค้าก็เอาเราไปด้วยทุกวัน แต่เพราะว่าเค้ายุ่ง เราเลยเหมือนถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียว คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง จะเดินไปไหน ยังไงก็ไม่รู้ รุ้สึกว่ามันแย่มาก แอบร้องไห้ อยากกลับบ้าน แถมเราต้องไปเดินทางไปต่างจังหวัดกันหลายที่ (แต่นอนแยกกัน เพราะว่าเค้าให้นอนแยกชายหญิงค่ะ) ฉะนั้นถึงจะเจอกันทุกวัน แต่ก็แทบไม่ได้คุยกัน เราก็ว่างถึงว่างมากกกกกก นั่งเฉยๆ เน็ตก็ไม่มีให้เล่น แทบจะรู้สึกเหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่เข้าใจว่าคุณสามีจะอยากใ้ห้เรามาที่นี่ทำไม

หลังจากที่โทรศัพท์ไประบายกับอุ๋มหลายครั้ง ก็ได้เพื่อนรักเราคนน้ีนี่ี่แหละที่ทำให้เราได้คิด อุ๋มพูดมาแค่ว่า “ถ้าบุ๋นต้องย้ายไปทำงานที่เมืองนอก บุ๋นจะอยากให้สามีไปอยู่ด้วยมั้ยล่ะ ถึงแม้ว่าไม่รู้จะให้เค้าไปทำอะไรก็ตาม” อืม…แค่นี้แหละ กระจ่างเลยว่าทำไม มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรหรอกว่าจะให้เรามาทำไม มาเพื่ออะไร เป็นเราเราก็อยากให้มา (หรือจริงๆแล้วคุณสามีเค้ามีเหตุผลอื่นก็ไม่รู้นะ เราก็ไม่ได้ถาม)

บางครั้งคนเราก็มองแต่ตัวเอง แต่ไม่ลองเอาใจเค้ามาใส่ใจเราดูบ้างว่าอีกคนเค้ารู้สึกยังไง ไม่ชอบเวลาที่ตัวเองเป็นคนแบบนี้เลยให้ตายเถอะ

ณ ปัจจุบัน มาอยู่ได้เกือบๆสามอาทิตย์แล้ว ปรับตัวได้แล้ว พอฟังภาษาจีนรู้เรื่องนิดหน่อยๆ (แต่ยังไม่กล้าพูด เขินๆยังไงไม่รู้) กล้าเดินไปไหนมาไหน รู้จักคน รู้จักที่ทางมากขึ้น และคนที่นี่ก็น่ารัก เฟรนลี่ นิสัยเหมือนคนไทยอ่ะ เทคแคร์คนต่างชาติดี ชวนคุย ชวนกิน ถึงแม้ว่าคุยกันไม่รู้เรื่องก็เถอะ 555 (เพราะเราฟังรู้เรื่องแค่พื้นๆอ่ะ อารมณ์เหมือนเป็นคนต่างชาติในไทยอ่ะ กินข้าว ไปไหนมา อะไรงี้ฟังรู้เรื่อง มาประโยคยาวๆ ถามโน่นถามนี่ ก็ไม่รู้เรื่องเเล้วจ้า)

สำหรับการมาไต้หวันครั้งนี้ คนสำคัญที่เราต้องขอบคุณ (แต่เรายังไม่ได้พูดเลยอ่ะ ได้แต่คิดในใจ เขิลลลล) ก็คือ น้องสาวของคุณสามี นั่นเอง อย่างที่บอกมานี่เค้าแยกนอนชายหญิง ฉะนั้นพี่เลี้ยงเราจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากน้อง…..เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะ น้องสามีป่ะ นั่นแหละ ๆต้องขอบคุณมากๆเลย เพราะเค้าคือคนที่คอยดูแลเทคแคร์เราตลอด ไม่ว่าจะต้องคอยเป็นล่าม พาเราไปหาหมอ คอยตอบคำถามว่าของกินโน่นนี่นั่นคืออะไร ห้องน้ำอยู่ไหน เครื่องใชไฟฟ้าแต่ละอย่างใช้ยังไง ฯลฯ ตอนมาก็ไม่ได้คิดหรอก คิดสั้นๆ มองสั้นๆ ว่าคุณสามีอยากให้มาก็มา ไม่เคยคิดว่ามีคนต้องมาเหนื่อยเพราะการมาของเรา ไม่เคยคิดจะถามเค้าด้วยว่า เราจะไปเนี่ย โอเคอ้ะป่าว (เห็นมะ เรามองแต่ตัวเองอีกแล้ว) ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับพี่เลี้ยงของเราคนนี้

Thursday, August 4, 2011

สามสิบยังแจ๋ว


เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดของเราเอง ^ ^


ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่อวยพรผ่านทาง โทรศัพท์, SMS, MMS, Facebook, Whatzapp และ BBM

ขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ พี่แบงก์ ป้าๆ และพีีปอนด์ สำหรับคำอวยพร
ขอบคุณปะป๊า มะม๊าที่พาไปกินข้าววันเกิด

และสุดท้าย ขอบคุณคุณสามีที่โทรมาอวยพร

ป.ล. 1 ขอบคุณเพื่อนๆอีกหลายคนที่โทรมาแล้วอาจจะไม่ติด หรือ sms มาแล้วเราไม่ได้รับ (น้องไดมอนด์เรา แฮงก์บ่อยมากพักนี้)

ป.ล. 2 เค้กในรูป อุ๋มเลี้ยง ขอบคุณอุ๋มด้วย

ป.ล. 3 สามสิบแล้ว ก็เลย.....ชอบโฆษณานี้ของ Oriental Princess มากมาย ผู้หญิง อย่าหยุดสวย