วันพฤหัสที่ผ่านมา คุณลุงเสีย คุณลุงคนนี้เป็นสามีของคุณป้าที่เรารักมากกกกกกๆๆๆๆๆๆ ก่อนหน้านี้แกเป็นถุงลมโป่งพอง ไปไหนต้องพกถังออกซิเจนไปด้วยเพราะเหนื่อยง่าย ล่าสุดแกช๊อคไปต้องส่งโรงพยาบาล นอน ICU หลายคืน ตอนแรกนอนที่นนทเวช เพราะใกล้บ้าน แต่เพราะว่าโรงพยาบาลเอกชนมันแพง ก็เลยย้ายไปโรงพยาบาลรามา แต่แกไม่ชอบ จะกลับบ้านท่าเดียว สุดท้ายก็ต้องพาแกกลับบ้าน ถึงบ้านไม่นาน แกช๊อคอีก ก็ต้องพาเข้าICU ที่โรงพยาบาลนนทเวชอีกครั้ง แต่คราวนี้แกไม่รู้สึกตัวเลย x-ray ปอดดู ปอดหายไปครึ่งนึงแล้ว (ปอดติดเชื้อค่ะ ลูกพี่ลูกน้องเราที่รามาบอกว่าแกติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งค่อนข้างร้ายแรงกว่าติดเชื้อไวรัส) เราก็...ย้ายแกไปรามาอีก (เพราะแกไม่รู้สึกตัว คงไม่โวยวาย) สุดท้ายแกก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลรามา
อ่ะ กลับมาเข้าเรื่องของเรา วันพฤหัสที่แกเสีย เราก็จะลาพักร้อนไปรดน้ำศพ เนื่องจากเป็นการลากะทันหัน (ปกติต้องลาล่วงหน้าสองอาทิตย์) ดังนั้นก็เลยต้องใส่เหตุผลของการลาลงไปด้วย เอาล่ะซิ.... รดน้ำศพภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าไงหว่า...... เปิด dictionary ดู ได้คำว่า perform funeral bathing ceremony อืม....ผิดถูกไม่รู้เเล้ว เค้าว่างี้เราก็ว่าตามเค้า วันนี้ก็เลยได้ศัพท์ใหม่มาอีกหนึ่งคำ สบายใจ 555
Saturday, October 24, 2009
Tuesday, October 20, 2009
ซื้อคอนแทคเลนส์มาใส่อีกแล้ว
หลังจากทำเลสิกมาแล้วก็จะเกิดอาการอยากใส่คอนแทคเลนส์สีขึ้นมาเป็นพักๆ ใส่ทีไรก็สีเทาเนี่ยเเหละ ชอบ ไม่เคยนอกใจไปใส่สีอื่นซะที
เนื่องจากว่ามันมักจะมีการเอารูปคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ไปใช้โฆษณาขายคอนแทคเลนส์กันโดยไม่ขออนุญาต ก็เลย....ทำลายน้ำไว้กลางรูป (เผื่อๆไว้) แต่คิดว่าคงไม่มีใครเอารูปเราไปหรอก เพราะว่าตาเราไม่สวยอ่ะ หน้าก็ไม่แบ๊วแบบที่เค้าโฆษณากัน
ใส่เปรียบเทียบหนึ่งข้าง เราว่ามันก็ดูไม่โตเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะเราไม่ชอบตาโตมากๆ
ถ่ายแบบปกติ (มั้ง)
ถ่ายโดยหันหน้าสู้แสงไฟ
แบบเปิดแฟลช
เราว่ามันก็โอเคดีนะ สีเทามักดูไม่หลอกตา แล้วก็ดูเก๋ด้วย
เนื่องจากว่ามันมักจะมีการเอารูปคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ไปใช้โฆษณาขายคอนแทคเลนส์กันโดยไม่ขออนุญาต ก็เลย....ทำลายน้ำไว้กลางรูป (เผื่อๆไว้) แต่คิดว่าคงไม่มีใครเอารูปเราไปหรอก เพราะว่าตาเราไม่สวยอ่ะ หน้าก็ไม่แบ๊วแบบที่เค้าโฆษณากัน
ใส่เปรียบเทียบหนึ่งข้าง เราว่ามันก็ดูไม่โตเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะเราไม่ชอบตาโตมากๆ
ถ่ายแบบปกติ (มั้ง)
ถ่ายโดยหันหน้าสู้แสงไฟ
แบบเปิดแฟลช
เราว่ามันก็โอเคดีนะ สีเทามักดูไม่หลอกตา แล้วก็ดูเก๋ด้วย
Monday, October 19, 2009
ปู่ย่าตายายและตระกูลของเรา ตอนที่ 1
ลองเซิร์ชนามสกุลตัวเองในกูเกิ้ล แล้วไม่เห็นว่าจะมีประวัติเลยอ่ะ (ตระกูลทางพ่อนะ) ส่วนตระกูลทางแม่ โดยเฉพาะตระกูลของยายนี่ มีหลากหลาย แต่เป็นข่าวเล่าข่าวลือทั้งนั้น เราจำได้ว่าบ้านเรามีหนังสือรวบรวมตระกูลทางยายอยู่นะ ไว้หามาลงๆเก็บไว้ดีกว่า
วันนี้ก็เอาเรื่องราวของคุณตามาลงก่อน มันป็นความภาคภูมิใจนะ ขอบอก คุณตาเราเป็นคนริเริ่มงานแสดงช้างที่จังหวัดสุรินทร์นะ
แต่ให้ตายเหอะ เวลาดูทีวี หรือหนังสือเดี๋ยวนี้ พิมพ์นามสกุลคุณตาผิดประจำเลย เฮ้อ.....
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503 นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม ได้จัดงานแสดงช้างขึ้นที่บริเวณสนามบินเก่า อำเภอท่าตูม (ที่ตั้งโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน) เพื่อเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ในงานมีการแสดงขบวนแห่ช้าง การแข่งขันช้างวิ่งเร็ว การคล้องช้าง ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก มีการแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ทั้งทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ทำให้ชาวไทรและชาวชาวต่างประเทศเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก ในปีต่อมา อสท. (ททท.) จึงได้เข้ามาให้การสนับสนุน โดยร่วมกำหนดรูปแบบของการแสดง และนำนักท่องเทียวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาชมการแสดง
ในปีพ.ศ.๒๕๐๕ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้การจัดงานช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และให้ส่วนราชการต่างๆ สนับสนุน นายคำรณ สังขกร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น พิจารณาเห็นว่า การจัดงานที่อำเภอท่าตูม ไม่สะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจึงได้ย้ายสถานที่จัดงานมาจัดงานที่ สนามกีฬาจังหวัดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ ๔๘
ที่มา : http://www.riverkingcruise.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538663439&Ntype=11
อันนี้เอามาจาก.....คนใกล้ตัวเขียน
นายวินัย สุวรรณกาศ ดำรงตำแหน่ง นายอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างปี 2498 - 2511 ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว โดยการจัดงานช้างครั้งแรกในปี 2503 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอท่าตูมใหม่ เนื่องจากที่ว่าการอำเภอหลังเดิมถูกไฟไหม้ในปี 2500 ในขณะที่ท่านป่วยและไปรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยโรคปอด เป็นเวลานานถึง 6 เดือน เมื่อรักษาตัวหายแล้วจึงได้สร้างที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ และจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชขึ้น นายอำเภอวินัย สุวรรณกาศเป็นที่รักของชาวบ้านมาก จะเรียกท่านว่า "คุณพ่อ" และพร้อมใจกันรับขวัญที่ท่านนายอำเภอหายป่วยในครั้งนั้น การจัดงานช้างที่ท่าตูมได้จัดขึ้นทุกปี ประมาณ 2-3 ปี โดยท่านนายอำเภอได้ประสานงานกับ อสท.ในสมัยคุณเฉลิมชัย จารุวัสร์เป็น ผอ.(ปัจจุบัน คือ ททท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) แต่ตอนหลังการเดินทางไม่สะดวก เนื่องจากถนนจากสุรินทร์-ท่าตูม เป็นถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 51 กม. จึงย้ายมาจัดในตัวจังหวัดจนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ก็เอาเรื่องราวของคุณตามาลงก่อน มันป็นความภาคภูมิใจนะ ขอบอก คุณตาเราเป็นคนริเริ่มงานแสดงช้างที่จังหวัดสุรินทร์นะ
แต่ให้ตายเหอะ เวลาดูทีวี หรือหนังสือเดี๋ยวนี้ พิมพ์นามสกุลคุณตาผิดประจำเลย เฮ้อ.....
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503 นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม ได้จัดงานแสดงช้างขึ้นที่บริเวณสนามบินเก่า อำเภอท่าตูม (ที่ตั้งโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน) เพื่อเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ในงานมีการแสดงขบวนแห่ช้าง การแข่งขันช้างวิ่งเร็ว การคล้องช้าง ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก มีการแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ทั้งทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ทำให้ชาวไทรและชาวชาวต่างประเทศเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก ในปีต่อมา อสท. (ททท.) จึงได้เข้ามาให้การสนับสนุน โดยร่วมกำหนดรูปแบบของการแสดง และนำนักท่องเทียวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาชมการแสดง
ในปีพ.ศ.๒๕๐๕ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้การจัดงานช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และให้ส่วนราชการต่างๆ สนับสนุน นายคำรณ สังขกร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น พิจารณาเห็นว่า การจัดงานที่อำเภอท่าตูม ไม่สะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจึงได้ย้ายสถานที่จัดงานมาจัดงานที่ สนามกีฬาจังหวัดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ ๔๘
ที่มา : http://www.riverkingcruise.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538663439&Ntype=11
อันนี้เอามาจาก.....คนใกล้ตัวเขียน
นายวินัย สุวรรณกาศ ดำรงตำแหน่ง นายอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างปี 2498 - 2511 ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว โดยการจัดงานช้างครั้งแรกในปี 2503 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอท่าตูมใหม่ เนื่องจากที่ว่าการอำเภอหลังเดิมถูกไฟไหม้ในปี 2500 ในขณะที่ท่านป่วยและไปรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยโรคปอด เป็นเวลานานถึง 6 เดือน เมื่อรักษาตัวหายแล้วจึงได้สร้างที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ และจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชขึ้น นายอำเภอวินัย สุวรรณกาศเป็นที่รักของชาวบ้านมาก จะเรียกท่านว่า "คุณพ่อ" และพร้อมใจกันรับขวัญที่ท่านนายอำเภอหายป่วยในครั้งนั้น การจัดงานช้างที่ท่าตูมได้จัดขึ้นทุกปี ประมาณ 2-3 ปี โดยท่านนายอำเภอได้ประสานงานกับ อสท.ในสมัยคุณเฉลิมชัย จารุวัสร์เป็น ผอ.(ปัจจุบัน คือ ททท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) แต่ตอนหลังการเดินทางไม่สะดวก เนื่องจากถนนจากสุรินทร์-ท่าตูม เป็นถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 51 กม. จึงย้ายมาจัดในตัวจังหวัดจนกระทั่งปัจจุบัน
Sunday, October 11, 2009
Monday, October 5, 2009
ก็เป็นคนขี้รำคาญ
หลายคนชอบถามว่าเราอยู่อย่างงี้เรามีความสุขเหรอ ไม่ได้คุยโทรศัพท์กับแฟนทุกวัน ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เป็นเค้า เค้าทำไม่ได้แน่ๆ
เฮ้อ...อยากบอกว่าเรามีความสุข แฮปปี้ดีนะ เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงน่ะ แล้วก็ขี้รำคาญมากๆด้วย คือ....คนมาจีบก็มีนะ เช้าถึงเย็นถึงก็มี แต่ซักพัก....เราก็รำคาญอ่ะ (พอดีวันนี้มีเหตุน่ารำคาญก็เลยขอบ่นซะหน่อย)
เคสที่หนึ่ง สมัยเรียนโท คนที่เรียนด้วยกัน ตอนแรกก็ไม่มีอะไร ทำแลปด้วยกัน ก็มีคุยกัน กลับบ้านด้วยกันบ้าง หลังๆ ตอนเช้ามามหาลัย มารอเราซะงั้น จะไปไหนก็เดินตาม มาเจอเราก่อนเข้าเรียนทุกเช้า ได้ซักอาทิตย์นึงมั้ง เราก็...ไม่ไหวเเล้ว รำคาญ ไม่ชอบอ่ะ (ทั้งๆที่ตอนแรกก็แอบปิ๊งเค้านะ แต่พอเค้ามาจีบจริงๆกลับรำคาญซะงั้น)
เคสที่สอง เป็นพี่ที่รู้จักกัน เค้าก็รู้ว่าเรามีแฟน แต่ก็ยังแวะเวียนมาคุยด้วย ตอนหลัง....มีพักนึงเราเซ็งๆ ชีวิต ก็เลยไม่อยากรับโทรศัพท์ใคร เค้าโทรมาเราก็ไม่รับ เค้าก็เลยเมสเสจมาว่า พี่อยู่ตรงนี้นะ (ประโยคใจความประมาณนี้อ่ะ จำประโยคจริงๆไม่ได้) แบบว่า..รำคาญอ่ะ เรามีแฟนเเล้วนะ มาบอกพี่อยู่ตรงนี้อะไรล่ะ ไร้สาระ แถมบอกว่าไม่อยากคุยกะใครก็ยังมาตอแย โทรมาไม่รับ ก็ส่งข้อความมาทางเอ็มแทน น่ารำคาญที่สุด เลยเลิกคุยด้วยไปแล้ว
เคสที่สาม เป็นรุ่นน้อง (มีครบเลยวุ้ย รุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง) น่ารำคาญมากเลย โทรมาบ่อยๆ เรื่องก็ไม่ได้มีอะไรจะคุยกันนักหนา เจอกันในเอ็มก็บ่อยๆ จะโทรมาทำไมกันนักกันหนา แถมไม่ค่อยรู้กาละเทศะ โทรมาตอนแปดโมงเช้ามั่ง ตอนบ่ายมั่ง(คนเค้าทำงานนะ) พอบอกว่าทำงานก็ยังจะคุยอีก จนต้องบอกว่า พี่ขอตัวไปทำงานนะ ล่าสุด โทรมาเราเจ็บคอ หมอห้ามใช้เสียง ก็ยังมาชวนเราคุยอยู่ได้ รำคาญนะ คนแบบนี้
เคสที่สี่ เพื่อนกัน (มั้ง) คุยกันทางเอ็มบ่อยๆ (เพื่อนทางเน็ตน่ะแหละ) ชอบถามอยู่ได้ วันนี้ไปไหนมา พรุ่งนี้จะไปไหน พอบอกว่า ไปเที่ยวก็เพื่อน ก็มาไล่ถามเรา ไปไหน เพื่อนชื่ออะไร รู้จักเพื่อนเราเหรอ ก็ปล่าว จะมาถามรายละเอียดทำไม น่ารำคาญ (อีกแล้ว)
ก็เป็นอย่างงี้แหละ ถึงมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะเค้าไม่น่ารำคาญนี่
เฮ้อ...อยากบอกว่าเรามีความสุข แฮปปี้ดีนะ เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงน่ะ แล้วก็ขี้รำคาญมากๆด้วย คือ....คนมาจีบก็มีนะ เช้าถึงเย็นถึงก็มี แต่ซักพัก....เราก็รำคาญอ่ะ (พอดีวันนี้มีเหตุน่ารำคาญก็เลยขอบ่นซะหน่อย)
เคสที่หนึ่ง สมัยเรียนโท คนที่เรียนด้วยกัน ตอนแรกก็ไม่มีอะไร ทำแลปด้วยกัน ก็มีคุยกัน กลับบ้านด้วยกันบ้าง หลังๆ ตอนเช้ามามหาลัย มารอเราซะงั้น จะไปไหนก็เดินตาม มาเจอเราก่อนเข้าเรียนทุกเช้า ได้ซักอาทิตย์นึงมั้ง เราก็...ไม่ไหวเเล้ว รำคาญ ไม่ชอบอ่ะ (ทั้งๆที่ตอนแรกก็แอบปิ๊งเค้านะ แต่พอเค้ามาจีบจริงๆกลับรำคาญซะงั้น)
เคสที่สอง เป็นพี่ที่รู้จักกัน เค้าก็รู้ว่าเรามีแฟน แต่ก็ยังแวะเวียนมาคุยด้วย ตอนหลัง....มีพักนึงเราเซ็งๆ ชีวิต ก็เลยไม่อยากรับโทรศัพท์ใคร เค้าโทรมาเราก็ไม่รับ เค้าก็เลยเมสเสจมาว่า พี่อยู่ตรงนี้นะ (ประโยคใจความประมาณนี้อ่ะ จำประโยคจริงๆไม่ได้) แบบว่า..รำคาญอ่ะ เรามีแฟนเเล้วนะ มาบอกพี่อยู่ตรงนี้อะไรล่ะ ไร้สาระ แถมบอกว่าไม่อยากคุยกะใครก็ยังมาตอแย โทรมาไม่รับ ก็ส่งข้อความมาทางเอ็มแทน น่ารำคาญที่สุด เลยเลิกคุยด้วยไปแล้ว
เคสที่สาม เป็นรุ่นน้อง (มีครบเลยวุ้ย รุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง) น่ารำคาญมากเลย โทรมาบ่อยๆ เรื่องก็ไม่ได้มีอะไรจะคุยกันนักหนา เจอกันในเอ็มก็บ่อยๆ จะโทรมาทำไมกันนักกันหนา แถมไม่ค่อยรู้กาละเทศะ โทรมาตอนแปดโมงเช้ามั่ง ตอนบ่ายมั่ง(คนเค้าทำงานนะ) พอบอกว่าทำงานก็ยังจะคุยอีก จนต้องบอกว่า พี่ขอตัวไปทำงานนะ ล่าสุด โทรมาเราเจ็บคอ หมอห้ามใช้เสียง ก็ยังมาชวนเราคุยอยู่ได้ รำคาญนะ คนแบบนี้
เคสที่สี่ เพื่อนกัน (มั้ง) คุยกันทางเอ็มบ่อยๆ (เพื่อนทางเน็ตน่ะแหละ) ชอบถามอยู่ได้ วันนี้ไปไหนมา พรุ่งนี้จะไปไหน พอบอกว่า ไปเที่ยวก็เพื่อน ก็มาไล่ถามเรา ไปไหน เพื่อนชื่ออะไร รู้จักเพื่อนเราเหรอ ก็ปล่าว จะมาถามรายละเอียดทำไม น่ารำคาญ (อีกแล้ว)
ก็เป็นอย่างงี้แหละ ถึงมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะเค้าไม่น่ารำคาญนี่
Sunday, October 4, 2009
อ้วนมาก ไม่ไหวแล้ว !!!!
ตามหัวข้อเลย ทนตัวเองไม่ไหวเเล้ว เข้าสู่โหมดลดน้ำหนักโลดดดดดด (รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ไม่อยากนับแล้ว)
Subscribe to:
Posts (Atom)