"ฉันไม่อยากจะตอบคำถาม ที่เค้าถามกัน....."
เฮ้อ..... เทศกาลแห่งความเซ็งเริ่มขึ้นอีกแล้ว เมื่อต้องเจอคำถามที่ไม่อยากตอบ
เดือนหน้า (วันที่ 17 มิถุนา) พี่แบงก์จะแต่งงาน พี่ชายจะแต่งงานนับเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็นำพาเรื่องสุดเซ็งมาให้เรา
เพราะพอเจอหน้าญาติๆ เพื่อแจ้งข่าวงานมงคล ..... ก็จะมีคำถามนึงพุ่งตรงมาที่เราทันที
"แล้วบุ๋นจะแต่งเมื่อไหร่"
คือ..ก็รู้อยู่ว่าตรูเนี่ยเป็นผู้หญิงนะ ตรูอยากแต่ง แต่คุณผู้ชายเค้ายังไม่อยากจะให้ทำยังไง ฮึ ยังไงก็ต้องรอเค้ามาขออยู่ดี
(คิดในใจ แต่พูดออกไปไม่ได้ เพราะญาติผู้ใหญ่ทั้งนั้น)
คาดว่าจะเป็นคำถามที่โดนถามต่อไป จนถึงในงานแต่งงานเลยทีเดียว
ผู้ใหญ่เค้าจะเคยคิดมั้ยว่าคำถามแบบเนี้ย คนฟังเค้ารู้สึกไม่ดี ไม่ว่าจะเป็น เมื่อไหร่จะแต่ง เมื่อไหร่จะมีน้อง เฮ้อ...... (เห็นในพันทิบก็มีคนบ่นเรื่องนี้เยอะอยู่) ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ แต่งเมื่อไหร่บุ๋นจะรีบบอกทุกคนเลยล่ะ
Friday, May 28, 2010
Sunday, May 23, 2010
RED have already gone !!!
ไม่เกี่ยวกะการเมืองแต่อย่างใด เรื่องของเรื่องคือเราจะเปลี่ยนรถ แล้ววันนี้เป็นที่เค้ามาเอาน้องแดงไปแล้ว โอ้ววววววว เมื่อตอนเที่ยง
น้องแดงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า GAMO (ข้าพเจ้าตั้งเอง) เดี๋ยววันอังคารนี้จะมีน้องขาวมาแทน น้องขาวมีชื่อแล้วนะ ชื่อ มูซาชิ (Musashi) ซึ่งเป็นชื่อซามูไรคนดังคนนึง
ตอนนี้ลานจอดรถโล่ง ไม่มีน้องกาโม่อยู่แล้ว รู้สึกแปลกๆเหมือนกันเพราะรักน้องกาโม่มากกกก ผูกพันกันมาตั้งหกปี เเต่เอาเหอะ ชีวิตต้องดำเนินไป แล้วจะเอาน้องขาวมาอวด
รูปสุดท้ายที่ถ่ายกับกาโม่ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (วันที่สลายชุมนุมน่ะเเหละ)
น้องแดงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า GAMO (ข้าพเจ้าตั้งเอง) เดี๋ยววันอังคารนี้จะมีน้องขาวมาแทน น้องขาวมีชื่อแล้วนะ ชื่อ มูซาชิ (Musashi) ซึ่งเป็นชื่อซามูไรคนดังคนนึง
ตอนนี้ลานจอดรถโล่ง ไม่มีน้องกาโม่อยู่แล้ว รู้สึกแปลกๆเหมือนกันเพราะรักน้องกาโม่มากกกก ผูกพันกันมาตั้งหกปี เเต่เอาเหอะ ชีวิตต้องดำเนินไป แล้วจะเอาน้องขาวมาอวด
รูปสุดท้ายที่ถ่ายกับกาโม่ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (วันที่สลายชุมนุมน่ะเเหละ)
Monday, May 17, 2010
เปิดกล่องความทรงจำ
วันนี้ได้หยุดเนื่องจากเหตุความไม่สงบในกรุงเทพ อากาศก็ร้อน ไม่มีอารมณ์ทำอะไร ก็เลยจัดห้องดีกว่า รื้อของในตู้หนังสือ โล๊ะหนังสือเรียน เลคเชอร์ทั้งของป.ตรี ป.โท ทิ้ง (เก็บไว้เยอะ เพราะว่าป.โท ต่อสาขาเดิมๆไง ของเก่าเลยเก็บไว้ใช้ได้) นอกจากหนังสือ กับกองกระดาษสมัยเรียนแล้ว เรายังเจอของที่เก็บไว้นาน นานจนกลายเป็นความทรงจำไปแล้ว
ของนั้นคือ......Sketchbook กับผลงานการ์ดูนของเรานั่นเอง อย่างที่รู้ๆ สมัยก่อนเราบ้าการ์ตูนมาก เราไม่ได้อ่านอย่างเดียวนะ วาดด้วยล่ะ มีสังคมเพื่อนทางจดหมายที่เป็นคนรักการ์ตูนเหมือนๆกัน มีสังกัดกลุ่มวาดการ์ตูน ว่างๆก็ส่งการ์ตูน หรือวาดรูปประกวดชิงรางวัล (แต่ไม่เคยได้กะเค้าหรอก เพราะว่าฝีมือเรามันเด็กๆ)
พวกจดหมายของเพื่อนเราทิ้งไปหมดเเล้ว เราเก็บไว้เเต่รูปการ์ตูนที่เพื่อนๆวาดให้ สมัยนั้นก็แปลกเนอะ ทำไมเราต้องวาดรูปส่งให้เพื่อนๆด้วยนะ คิิดเเล้วก็ตลกดี เวลาผ่านไป เพื่อนๆที่ลืมกันไปแล้วจะยังเก็บรูปที่เราตั้งใจวาดให้ ไว้รึป่าวนะ (ที่เเน่ๆ รูปสวยๆที่เพื่อนๆวาดเรายังเก็บไว้ทุกรูปเลย ทั้งรูปสี หรือขาวดำ) พอมารื้อดูก็ทำให้เห็นว่ารูป Original ฝีมือตัวเองมีน้อยมากๆ (เพราะให้คนอื่นหมด) หลังๆเค้าเลยนิยมวาดรูปแล้วซีรอกซ์ให้เพื่อนๆแทน (แน่นอน เรามีรูปซีรอกซ์ฝีมือเพื่อนๆเยอะแยะเลยเเหละ)
รูปฝีมือตัวเอง ใหม่สุดที่มีลงลายเซ็นต์ไว้ปี 2001 (โอ้.....นี่ชั้นไม่ได้วาดรูปมา 9 ปีแล้วเหรอเนี่ย) ดูแล้วก็นั่งอมยิ้ม นึกถึงความทรงจำเก่าๆที่มีความสุข ไว้หาเวลาวาดรูปสวยๆซักรูปดีกว่า
ของนั้นคือ......Sketchbook กับผลงานการ์ดูนของเรานั่นเอง อย่างที่รู้ๆ สมัยก่อนเราบ้าการ์ตูนมาก เราไม่ได้อ่านอย่างเดียวนะ วาดด้วยล่ะ มีสังคมเพื่อนทางจดหมายที่เป็นคนรักการ์ตูนเหมือนๆกัน มีสังกัดกลุ่มวาดการ์ตูน ว่างๆก็ส่งการ์ตูน หรือวาดรูปประกวดชิงรางวัล (แต่ไม่เคยได้กะเค้าหรอก เพราะว่าฝีมือเรามันเด็กๆ)
พวกจดหมายของเพื่อนเราทิ้งไปหมดเเล้ว เราเก็บไว้เเต่รูปการ์ตูนที่เพื่อนๆวาดให้ สมัยนั้นก็แปลกเนอะ ทำไมเราต้องวาดรูปส่งให้เพื่อนๆด้วยนะ คิิดเเล้วก็ตลกดี เวลาผ่านไป เพื่อนๆที่ลืมกันไปแล้วจะยังเก็บรูปที่เราตั้งใจวาดให้ ไว้รึป่าวนะ (ที่เเน่ๆ รูปสวยๆที่เพื่อนๆวาดเรายังเก็บไว้ทุกรูปเลย ทั้งรูปสี หรือขาวดำ) พอมารื้อดูก็ทำให้เห็นว่ารูป Original ฝีมือตัวเองมีน้อยมากๆ (เพราะให้คนอื่นหมด) หลังๆเค้าเลยนิยมวาดรูปแล้วซีรอกซ์ให้เพื่อนๆแทน (แน่นอน เรามีรูปซีรอกซ์ฝีมือเพื่อนๆเยอะแยะเลยเเหละ)
รูปฝีมือตัวเอง ใหม่สุดที่มีลงลายเซ็นต์ไว้ปี 2001 (โอ้.....นี่ชั้นไม่ได้วาดรูปมา 9 ปีแล้วเหรอเนี่ย) ดูแล้วก็นั่งอมยิ้ม นึกถึงความทรงจำเก่าๆที่มีความสุข ไว้หาเวลาวาดรูปสวยๆซักรูปดีกว่า
Sunday, May 9, 2010
JRP วันที่ 2 : อิริยาบท & DISC
หลังจากหยุดเรียนไปนานนนน เพราะแยกราชประสงค์ปิด อาทิตย์นี้ก็ได้ไปเรียนอีกครั้ง (จริงๆเป็นการเรียนครั้งแรกเลยนะ)
มีการย้ายสถานที่นิดหน่อย มาจัดการเรียนที่อาคารจัสมินซิตี้ ตรงสุขุมวิท 23 แทน เราไม่ค่อยชอบเลยเพราะว่าแถวนั้นรถติดอ่ะ
วันนี้เรียนเรื่อง อิริยาบท เค้าก็ขอให้ใส่รองเท้าส้นสูง กับกระโปรงมา และเรา...ก็แน่นอน เป็นนักเรียนที่ดีใส่ตามเค้าบอก แต่บางคนไม่เห็นใส่เลย ใสรองเท้าคัทชูเตี้ยติดดิน หรือใส่กางเกงมาก็มี อืม...เราไม่ค่อยเข้าใจเลยอ่ะ สิ่งที่เค้าบอกให้ทำเนี่ยมันมีผลดีกับคุณนะ มันทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพขึ้น ทำไมถึงไม่ทำล่ะ แต่เอาเหอะ เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา
อิริยาบทวันนี้เน้นเรื่องการเดิน เค้าให้เราเดินไปเดินมา แล้วถ่ายวีดีโอไว้ จากนั้นก็มาเปิดวีดีโอให้ดูแล้วบอกว่าใครต้องปรับอะไร และสอนวิธีปรับ รวมถึงสอนการยืน การถือกระเป๋า บลาๆๆๆ โดยส่วนตัวแล้ว เราว่าคลาสนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆกับเราเลย ทั้งๆที่มันเป็นสาเหตุที่เรามาเค้าคอร์สเรียนที่ JRP นะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะจริงๆเรื่องมารยาท อิริยาบท ท่าทางที่ถูกต้องน่ะ เรารู้หมดแล้ว แล้วเวลาออกสังคมเราก็ทำตลอดโดยอัตโนมัติ ตอนอาจารย์ให้ทุกคนยืน เพื่อสอนท่ายืน อาจารย์ยังชมเราเลยว่า เรายืนถูกอยู่คนเดียว เราเรียนรู้เบสิกพวกนี้มาจากไหน ส่วนเรื่องการเดินเค้าก็บอกแค่ว่า เราเดินขากาง ผู้หญิงควรเดินขาเป็นเส้นตรง จะดูดีกว่า (ไม่รู้ว่าเค้าวิจารย์แต่แบบซอฟท์ๆ หรือว่าเรามีปัญหาแค่นั้นจริงๆ)
อาจารย์ยังพูดเลย (จริงๆเค้าพูดตั้งแต่วันปฐมนิเทศน์แล้ว) ว่า บุคลิกภาพน่ะ ขึ้นอยู่กับ สามปัจจัย บุคคล สถานที่/สถานการณ์ และ วัฒนธรรม อยู่กะเพื่อน หรืออยู่ที่บ้าน เราก็สามารถเป็นตัวของเราเองได้ เเต่เวลาออกไปเจอผู้คนเราต้องสามารถทำตัวให้เหมาะสม ให้ดูดีได้ ซึ่ง....เราก็เป็นอยู่แล้ว ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ว่ามีคนบอกบ่อยๆว่าเรา เหมือนคุณหนู ดูมาดดี เนี๊ยบ ขนาดตอนรู้จักกันใหม่ๆ พัฒน์ยังบอกเลยว่าเราดูเป็นคุณหนูที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี (วันนี้ไปเรียน ยังมีน้องคนนึงพูดเลยว่า ผมว่าพี่มาดดีอยู่แล้วนะ) แต่พอสนิทกันเมื่อไหร่เราก็เป็นตัวของเราเอง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณแฟนชอบลุคอย่างงั้นซะนี่ พอเรียนเเล้วรู้เลยว่าเราน่ะทำได้อยู่แล้ว แต่เราไม่ทำเอง เหอๆๆๆๆ
แต่ไม่เถียงว่าถ้าทำได้ตลอดมันก็ดีกว่า เพราะเราไปเดินห้าง หรือไปซื้อส้มตำปากซอยก็อาจจะเจอคนรู้จักได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าทำตัวดูดีได้ตลอดมันก็ดี ตอนนี้ก็ปรับท่าเดินอีกนิดหน่อย (ก็คิดเอาเองว่า) ทุกอย่างก็เพอร์เฟค
กลับมาเรื่องเรียนต่อ แต่เราว่าบางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องสอนนะ เพรายุคสมัยมันเปลี่ยนไป เช่นการถือร่มด้ามยาว ว่าต้องถือยังไง เข้าใจว่าหลักสูตรมาจากเมืองนอก ที่เค้าไปไหน เค้าก็ถือร่มคันยาวๆ เดืนไปเดินมา แต่เมืองไทยมันไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ใช้ร่มคันสั้นๆ พับเก็บในกระเป๋าหรือเป้
พอช่วงบ่ายเรียนเรื่อง DISC ก็เป็นการเรียนรู้ตัวเองน่ะเเหละ ให้ทำแบบทดสอบตั้งแต่คราวก่อน เป็ฯคำถามที่ให้ตอบทันที่โดยไม่ต้องคิดกลั้นกรอง ให้เอาคำตอบแรกที่ผุดมาในหัวเลย เช่น เราเป็นคนแบบไหน อ่อนโยน อ่อนหวาน (จำไม่ได้นะ เเต่เป็นอารมร์ประมาณนี้ มีสองชอยส์ให้เลือก) แล้วก็เอาผลทดสอบมาประเมินว่าเราเป็นคนแบบไหน มีสี่ประแภท D I S C ขี้เกียจลงรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องที่หลายๆคนน่าจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว จากนั้นก็สอนให้เราอ่านผลประเมินของเรา ว่าเราจุดอ่อน จุดแข็งอะไร ควรปรับด้านไหน ซึ่งอาจารย์บอกว่า อย่าหางานที่เหมาะกับผลประเมิน แต่ให้หางานที่เราชอบ ดูว่าเรายังขาดอะไรแล้วก็ปรับให้เข้ากับงานนั้น
ผลของเราคือเราเป็น I โดยรวมๆก็เป็นคนช่างพูด ชอบโน้มน้าว มนุษยสัมพันธ์ดี เเล้วผลก็ออกมาว่าจากความเป็นเราเนี่ย เราชอบทำงานเกี่ยวกับ customer/employee interface ซึ่งเราก็ง๊งงง เพราะเราไม่ชอบนะ เราไม่ค่อยชอบเจอลูกค้า หรือดีลงานกะคนอื่นเท่าไหร่ แต่ใครๆก็ชอบบอกว่าเราน่าจะชอบนะ เพราะเห็นเราทำงานแบบนี้ได้ดี และดูท่าทางเราให้ มาเจอแบบประเมินออกมาอย่างงี้อีก ..... สงสัยจิตใต้สำนึกเรางจะชอบงานแบบนี้จริงๆซะล่ะมั้งงงงงง
เป็นวันที่สนุกอีกวัน หลังจากเรียนจบก็ไปหาหน่องที่โรงพยาบาลสัตว์เอกมัย (เพราะเรามาแถวสุขุมวิทแล้วนี่) ไปนั่งเม๊าท์กะหน่อง ประมาณชั่วโมงนึงก็บ๊ายบาย ไปทำธุระต่่อ นานๆเจอเพื่อนก็ดีเหมือนกัน
ลากันด้วยหมาบ้านหน่อง ชื่อน้อง ส้มหวาน น่ารักเนอะ เป็นยอร์กเชีย ผสมกะ ปอม
มีการย้ายสถานที่นิดหน่อย มาจัดการเรียนที่อาคารจัสมินซิตี้ ตรงสุขุมวิท 23 แทน เราไม่ค่อยชอบเลยเพราะว่าแถวนั้นรถติดอ่ะ
วันนี้เรียนเรื่อง อิริยาบท เค้าก็ขอให้ใส่รองเท้าส้นสูง กับกระโปรงมา และเรา...ก็แน่นอน เป็นนักเรียนที่ดีใส่ตามเค้าบอก แต่บางคนไม่เห็นใส่เลย ใสรองเท้าคัทชูเตี้ยติดดิน หรือใส่กางเกงมาก็มี อืม...เราไม่ค่อยเข้าใจเลยอ่ะ สิ่งที่เค้าบอกให้ทำเนี่ยมันมีผลดีกับคุณนะ มันทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพขึ้น ทำไมถึงไม่ทำล่ะ แต่เอาเหอะ เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา
อิริยาบทวันนี้เน้นเรื่องการเดิน เค้าให้เราเดินไปเดินมา แล้วถ่ายวีดีโอไว้ จากนั้นก็มาเปิดวีดีโอให้ดูแล้วบอกว่าใครต้องปรับอะไร และสอนวิธีปรับ รวมถึงสอนการยืน การถือกระเป๋า บลาๆๆๆ โดยส่วนตัวแล้ว เราว่าคลาสนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆกับเราเลย ทั้งๆที่มันเป็นสาเหตุที่เรามาเค้าคอร์สเรียนที่ JRP นะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะจริงๆเรื่องมารยาท อิริยาบท ท่าทางที่ถูกต้องน่ะ เรารู้หมดแล้ว แล้วเวลาออกสังคมเราก็ทำตลอดโดยอัตโนมัติ ตอนอาจารย์ให้ทุกคนยืน เพื่อสอนท่ายืน อาจารย์ยังชมเราเลยว่า เรายืนถูกอยู่คนเดียว เราเรียนรู้เบสิกพวกนี้มาจากไหน ส่วนเรื่องการเดินเค้าก็บอกแค่ว่า เราเดินขากาง ผู้หญิงควรเดินขาเป็นเส้นตรง จะดูดีกว่า (ไม่รู้ว่าเค้าวิจารย์แต่แบบซอฟท์ๆ หรือว่าเรามีปัญหาแค่นั้นจริงๆ)
อาจารย์ยังพูดเลย (จริงๆเค้าพูดตั้งแต่วันปฐมนิเทศน์แล้ว) ว่า บุคลิกภาพน่ะ ขึ้นอยู่กับ สามปัจจัย บุคคล สถานที่/สถานการณ์ และ วัฒนธรรม อยู่กะเพื่อน หรืออยู่ที่บ้าน เราก็สามารถเป็นตัวของเราเองได้ เเต่เวลาออกไปเจอผู้คนเราต้องสามารถทำตัวให้เหมาะสม ให้ดูดีได้ ซึ่ง....เราก็เป็นอยู่แล้ว ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ว่ามีคนบอกบ่อยๆว่าเรา เหมือนคุณหนู ดูมาดดี เนี๊ยบ ขนาดตอนรู้จักกันใหม่ๆ พัฒน์ยังบอกเลยว่าเราดูเป็นคุณหนูที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี (วันนี้ไปเรียน ยังมีน้องคนนึงพูดเลยว่า ผมว่าพี่มาดดีอยู่แล้วนะ) แต่พอสนิทกันเมื่อไหร่เราก็เป็นตัวของเราเอง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณแฟนชอบลุคอย่างงั้นซะนี่ พอเรียนเเล้วรู้เลยว่าเราน่ะทำได้อยู่แล้ว แต่เราไม่ทำเอง เหอๆๆๆๆ
แต่ไม่เถียงว่าถ้าทำได้ตลอดมันก็ดีกว่า เพราะเราไปเดินห้าง หรือไปซื้อส้มตำปากซอยก็อาจจะเจอคนรู้จักได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าทำตัวดูดีได้ตลอดมันก็ดี ตอนนี้ก็ปรับท่าเดินอีกนิดหน่อย (ก็คิดเอาเองว่า) ทุกอย่างก็เพอร์เฟค
กลับมาเรื่องเรียนต่อ แต่เราว่าบางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องสอนนะ เพรายุคสมัยมันเปลี่ยนไป เช่นการถือร่มด้ามยาว ว่าต้องถือยังไง เข้าใจว่าหลักสูตรมาจากเมืองนอก ที่เค้าไปไหน เค้าก็ถือร่มคันยาวๆ เดืนไปเดินมา แต่เมืองไทยมันไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ใช้ร่มคันสั้นๆ พับเก็บในกระเป๋าหรือเป้
พอช่วงบ่ายเรียนเรื่อง DISC ก็เป็นการเรียนรู้ตัวเองน่ะเเหละ ให้ทำแบบทดสอบตั้งแต่คราวก่อน เป็ฯคำถามที่ให้ตอบทันที่โดยไม่ต้องคิดกลั้นกรอง ให้เอาคำตอบแรกที่ผุดมาในหัวเลย เช่น เราเป็นคนแบบไหน อ่อนโยน อ่อนหวาน (จำไม่ได้นะ เเต่เป็นอารมร์ประมาณนี้ มีสองชอยส์ให้เลือก) แล้วก็เอาผลทดสอบมาประเมินว่าเราเป็นคนแบบไหน มีสี่ประแภท D I S C ขี้เกียจลงรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องที่หลายๆคนน่าจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว จากนั้นก็สอนให้เราอ่านผลประเมินของเรา ว่าเราจุดอ่อน จุดแข็งอะไร ควรปรับด้านไหน ซึ่งอาจารย์บอกว่า อย่าหางานที่เหมาะกับผลประเมิน แต่ให้หางานที่เราชอบ ดูว่าเรายังขาดอะไรแล้วก็ปรับให้เข้ากับงานนั้น
ผลของเราคือเราเป็น I โดยรวมๆก็เป็นคนช่างพูด ชอบโน้มน้าว มนุษยสัมพันธ์ดี เเล้วผลก็ออกมาว่าจากความเป็นเราเนี่ย เราชอบทำงานเกี่ยวกับ customer/employee interface ซึ่งเราก็ง๊งงง เพราะเราไม่ชอบนะ เราไม่ค่อยชอบเจอลูกค้า หรือดีลงานกะคนอื่นเท่าไหร่ แต่ใครๆก็ชอบบอกว่าเราน่าจะชอบนะ เพราะเห็นเราทำงานแบบนี้ได้ดี และดูท่าทางเราให้ มาเจอแบบประเมินออกมาอย่างงี้อีก ..... สงสัยจิตใต้สำนึกเรางจะชอบงานแบบนี้จริงๆซะล่ะมั้งงงงงง
เป็นวันที่สนุกอีกวัน หลังจากเรียนจบก็ไปหาหน่องที่โรงพยาบาลสัตว์เอกมัย (เพราะเรามาแถวสุขุมวิทแล้วนี่) ไปนั่งเม๊าท์กะหน่อง ประมาณชั่วโมงนึงก็บ๊ายบาย ไปทำธุระต่่อ นานๆเจอเพื่อนก็ดีเหมือนกัน
ลากันด้วยหมาบ้านหน่อง ชื่อน้อง ส้มหวาน น่ารักเนอะ เป็นยอร์กเชีย ผสมกะ ปอม
Sunday, May 2, 2010
Hula Hoop !!
วันนี้แม่เอาห่วงฮูลาฮูปกลับบ้านมา แกบอกว่าจะมาบริหารลดพุง เราเลยลองหัดเล่นกะเค้าด้วย เล่นยังไม่ค่อยเป็น ส่ายได้ไม่กี่ทีก็ร่วง เล่นไปก็นึกถึงเพลงเซ็กซี่ของพาราดอกซ์ ที่พอลล่าสุดที่รักของเราเล่นเอ็มวี
ตอนนี้หัวใกล้เคียงกะน้องพอลล่าในเอ็มวีล่ะ (ทรงคล้ายๆกัน) แต่หุ่นต้องปรับปรุง 555
ตอนนี้หัวใกล้เคียงกะน้องพอลล่าในเอ็มวีล่ะ (ทรงคล้ายๆกัน) แต่หุ่นต้องปรับปรุง 555
Subscribe to:
Posts (Atom)