หลังจากหยุดเรียนไปนานนนน เพราะแยกราชประสงค์ปิด อาทิตย์นี้ก็ได้ไปเรียนอีกครั้ง (จริงๆเป็นการเรียนครั้งแรกเลยนะ)
มีการย้ายสถานที่นิดหน่อย มาจัดการเรียนที่อาคารจัสมินซิตี้ ตรงสุขุมวิท 23 แทน เราไม่ค่อยชอบเลยเพราะว่าแถวนั้นรถติดอ่ะ
วันนี้เรียนเรื่อง อิริยาบท เค้าก็ขอให้ใส่รองเท้าส้นสูง กับกระโปรงมา และเรา...ก็แน่นอน เป็นนักเรียนที่ดีใส่ตามเค้าบอก แต่บางคนไม่เห็นใส่เลย ใสรองเท้าคัทชูเตี้ยติดดิน หรือใส่กางเกงมาก็มี อืม...เราไม่ค่อยเข้าใจเลยอ่ะ สิ่งที่เค้าบอกให้ทำเนี่ยมันมีผลดีกับคุณนะ มันทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพขึ้น ทำไมถึงไม่ทำล่ะ แต่เอาเหอะ เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา
อิริยาบทวันนี้เน้นเรื่องการเดิน เค้าให้เราเดินไปเดินมา แล้วถ่ายวีดีโอไว้ จากนั้นก็มาเปิดวีดีโอให้ดูแล้วบอกว่าใครต้องปรับอะไร และสอนวิธีปรับ รวมถึงสอนการยืน การถือกระเป๋า บลาๆๆๆ โดยส่วนตัวแล้ว เราว่าคลาสนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆกับเราเลย ทั้งๆที่มันเป็นสาเหตุที่เรามาเค้าคอร์สเรียนที่ JRP นะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะจริงๆเรื่องมารยาท อิริยาบท ท่าทางที่ถูกต้องน่ะ เรารู้หมดแล้ว แล้วเวลาออกสังคมเราก็ทำตลอดโดยอัตโนมัติ ตอนอาจารย์ให้ทุกคนยืน เพื่อสอนท่ายืน อาจารย์ยังชมเราเลยว่า เรายืนถูกอยู่คนเดียว เราเรียนรู้เบสิกพวกนี้มาจากไหน ส่วนเรื่องการเดินเค้าก็บอกแค่ว่า เราเดินขากาง ผู้หญิงควรเดินขาเป็นเส้นตรง จะดูดีกว่า (ไม่รู้ว่าเค้าวิจารย์แต่แบบซอฟท์ๆ หรือว่าเรามีปัญหาแค่นั้นจริงๆ)
อาจารย์ยังพูดเลย (จริงๆเค้าพูดตั้งแต่วันปฐมนิเทศน์แล้ว) ว่า บุคลิกภาพน่ะ ขึ้นอยู่กับ สามปัจจัย บุคคล สถานที่/สถานการณ์ และ วัฒนธรรม อยู่กะเพื่อน หรืออยู่ที่บ้าน เราก็สามารถเป็นตัวของเราเองได้ เเต่เวลาออกไปเจอผู้คนเราต้องสามารถทำตัวให้เหมาะสม ให้ดูดีได้ ซึ่ง....เราก็เป็นอยู่แล้ว ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ว่ามีคนบอกบ่อยๆว่าเรา เหมือนคุณหนู ดูมาดดี เนี๊ยบ ขนาดตอนรู้จักกันใหม่ๆ พัฒน์ยังบอกเลยว่าเราดูเป็นคุณหนูที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี (วันนี้ไปเรียน ยังมีน้องคนนึงพูดเลยว่า ผมว่าพี่มาดดีอยู่แล้วนะ) แต่พอสนิทกันเมื่อไหร่เราก็เป็นตัวของเราเอง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณแฟนชอบลุคอย่างงั้นซะนี่ พอเรียนเเล้วรู้เลยว่าเราน่ะทำได้อยู่แล้ว แต่เราไม่ทำเอง เหอๆๆๆๆ
แต่ไม่เถียงว่าถ้าทำได้ตลอดมันก็ดีกว่า เพราะเราไปเดินห้าง หรือไปซื้อส้มตำปากซอยก็อาจจะเจอคนรู้จักได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าทำตัวดูดีได้ตลอดมันก็ดี ตอนนี้ก็ปรับท่าเดินอีกนิดหน่อย (ก็คิดเอาเองว่า) ทุกอย่างก็เพอร์เฟค
กลับมาเรื่องเรียนต่อ แต่เราว่าบางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องสอนนะ เพรายุคสมัยมันเปลี่ยนไป เช่นการถือร่มด้ามยาว ว่าต้องถือยังไง เข้าใจว่าหลักสูตรมาจากเมืองนอก ที่เค้าไปไหน เค้าก็ถือร่มคันยาวๆ เดืนไปเดินมา แต่เมืองไทยมันไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ใช้ร่มคันสั้นๆ พับเก็บในกระเป๋าหรือเป้
พอช่วงบ่ายเรียนเรื่อง DISC ก็เป็นการเรียนรู้ตัวเองน่ะเเหละ ให้ทำแบบทดสอบตั้งแต่คราวก่อน เป็ฯคำถามที่ให้ตอบทันที่โดยไม่ต้องคิดกลั้นกรอง ให้เอาคำตอบแรกที่ผุดมาในหัวเลย เช่น เราเป็นคนแบบไหน อ่อนโยน อ่อนหวาน (จำไม่ได้นะ เเต่เป็นอารมร์ประมาณนี้ มีสองชอยส์ให้เลือก) แล้วก็เอาผลทดสอบมาประเมินว่าเราเป็นคนแบบไหน มีสี่ประแภท D I S C ขี้เกียจลงรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องที่หลายๆคนน่าจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว จากนั้นก็สอนให้เราอ่านผลประเมินของเรา ว่าเราจุดอ่อน จุดแข็งอะไร ควรปรับด้านไหน ซึ่งอาจารย์บอกว่า อย่าหางานที่เหมาะกับผลประเมิน แต่ให้หางานที่เราชอบ ดูว่าเรายังขาดอะไรแล้วก็ปรับให้เข้ากับงานนั้น
ผลของเราคือเราเป็น I โดยรวมๆก็เป็นคนช่างพูด ชอบโน้มน้าว มนุษยสัมพันธ์ดี เเล้วผลก็ออกมาว่าจากความเป็นเราเนี่ย เราชอบทำงานเกี่ยวกับ customer/employee interface ซึ่งเราก็ง๊งงง เพราะเราไม่ชอบนะ เราไม่ค่อยชอบเจอลูกค้า หรือดีลงานกะคนอื่นเท่าไหร่ แต่ใครๆก็ชอบบอกว่าเราน่าจะชอบนะ เพราะเห็นเราทำงานแบบนี้ได้ดี และดูท่าทางเราให้ มาเจอแบบประเมินออกมาอย่างงี้อีก ..... สงสัยจิตใต้สำนึกเรางจะชอบงานแบบนี้จริงๆซะล่ะมั้งงงงงง
เป็นวันที่สนุกอีกวัน หลังจากเรียนจบก็ไปหาหน่องที่โรงพยาบาลสัตว์เอกมัย (เพราะเรามาแถวสุขุมวิทแล้วนี่) ไปนั่งเม๊าท์กะหน่อง ประมาณชั่วโมงนึงก็บ๊ายบาย ไปทำธุระต่่อ นานๆเจอเพื่อนก็ดีเหมือนกัน
ลากันด้วยหมาบ้านหน่อง ชื่อน้อง ส้มหวาน น่ารักเนอะ เป็นยอร์กเชีย ผสมกะ ปอม
น้องส้มหวานน่ารักมาก
ReplyDeleteว่างๆ ไปเล่นกะไทนี่ที่บ้านบ้างนะ แม่บอกว่าไม่ใช่หมาละ เป็นหมูไปซะละ