พยายามทำโยเกิร์ตด้วยตัวเองมาสองสามที ไม่สำเร็จ เพราะว่าไม่มีที่บ่ม อากาศที่บ้านไม่ร้อนพออ่ะ พอพี่ที่ทำงานชักชวนซื้อเครื่องทำโยเกิร์ตก็เลยตัดสินใจซื้อโดยพลัน เราชอบกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติมากๆ แต่ว่าโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่เมืองไทยมันไม่อร่อยเอาซะเลย หว๊านหวาน ชอบเวลาไปกินที่ยุโรปมากกว่า (ฟังดูกะแดะดีแฮะ) ฉะนั้น....ทำกินเองดีกว่าจะได้ไม่หวานแบบที่เราต้องการ
วิธีทำก็แสนง่าย เอานมสดมา (ยูเฮชที หรือพาสเจอไรส์ก็ได้ แต่เราเลือกพาสเจอไรส์ เพราะเราว่ามันอร่อยกว่า) ทีนี้พอเอาพาสเจอไรส์มาก็ต้องเอามาต้มซะก่อน จริงๆบางสูตรไม่ต้มนะ แต่เราต้มอีกทีฆ่าเชื้อ จากนั้นรอให้เย็นหน่อย เทใส่ขวดแก้วของเครื่องทำโยเกิร์ต แล้วก็ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ซื้อตามห้างเนี่ยเเหละ ลงไปซักสองช้อนชา คนให้เข้ากันเเล้วก็เอาใส่เครื่อง เปิดสวิสต์ (พี่ที่ทำงานบอกว่าเค้าใช้เวลา สี่ชั่วโมงครึ่ง แต่เราล่อไปเจ็ด เพราะอยากได้เปรี้ยวๆ)
หน้าตาตอนอยู่ในเครื่องเป็นแบบนี้
จริงๆไอ้เครื่องนี้ก็แค่เครื่องบ่มรักษาอุณหภูมิให้อุ่นคงที่ แค่นั้นแหละ เค้าว่าเมืองไทยไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะอากาศร้อน เอาวางไว้ในที่อุ่นๆนิดนึงก็ได้โยเกิร์ตแล้ว แต่เราทำไม่สำเร็จอ่ะ ขนาดเอาไปวางหลังตู้เย็น (หลังตู้เย็นนะ ไม่ใช่บนตู้เย็น) มันยังไม่เป็นโยเกิร์ตเลยอ่ะ
พอใช้เครื่องแล้วก็ได้ออกมาเป็นแบบนี้
แต่น แต่น แต๊น จับตัวเป็นก้อน แต่..มันมีไขนมที่แยกตัวเป็นคราบๆอ่ะ เนื้อไม่เนียนเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะเราเอานมไปต้ม โดยไม่คน ไขมันเลยแยกตัว (ตอนเอานมใส่ขวดก็มีไขนมนอนก้นหม้อเต็มเลย)
หม่ำๆ หน้าตาไม่สวยแต่อร่อยน๊าาาาาา ไม่หวานเลย ถูกใจ
ไว้ทำเก่งกว่านี้ เนื้อเนียนๆ จะมาอวดใหม่ อิอิ
Saturday, July 31, 2010
Monday, July 26, 2010
JRP วันที่ 7 : ทักษะการพูดและการสื่อสาร ตอนที่ 2
วิชานี้คลาสแรกพูดไปนิดเดียว ตอนวันที่สาม เพราไม่ประทับใจ คราวนี้ดีขึ้นหน่อย แต่ว่าก็ไม่ค่อยชอบอยู่ดี ถึงแม้เพิ่งเรียนมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เหอะ แต่จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่
อาจารย์สอนว่า คนเราอยากได้ความภูมิใจ อยากให้คนชื่นชม และเห็นคุณค่าของเรา ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำเพื่อให้คนเห็นคุณค่า ก็ คือ แก้ปัญหาให้เค้า ทำตัวให้เค้านับถือ หรือเคารพ และสุดท้าย ทำให้ถูกใจ (ทั้งหมดเป็นภาษาเรานะ ไม่ใช่ภาษาอาจารย์) และอาจารย์ก็สอนอีกว่า เราจะเป็นผู้พูดที่ดีได้ เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน และจะเป็นผู้ฟังที่ดีได้ก็ต้องเป็นคนถามที่ดี แล้วจะเป็นถามที่ดีได้ไง ก็ โน่นนีนั่น (จำไม่ได้ละ) คนฟังที่ดียังไง ก็ต้อง เต็มใจฟัง คนพูดที่ดี ก็ต้องพูดในสิ่งที่คนฟังอยากฟัง อะไรประมาณนี้ คือ,,,เราไม่ค่อยชอบเลยอ่ะ มันดูหลักการสวยหรู แต่ทำน่ะมันยาก เพราะอาจารย์ก็บอกทำนองว่า บอกไม่ได้ว่ายังไง เพราะต้องดูว่าใครฟัง และเราจะทำยังไงต้องดูคนให้ออก อ่านคนให้เป็น (แต่ไม่สอนว่าให้ดูยังไง)
ตอนท้ายอาจารย์บอกว่า Public speaking ไม่ใช่เเค่การพูดบนเวที การที่เราคุยกันตอนนี้ก็เป็น Public speaking นั่งเม๊าท์กะเพื่อนๆก็เป็น Public Speaking ฉะนั้น เราก็ต้องควบคุมตัวเองด้วยนะ เราก็...อืม เห็นด้วยนะ (แต่โดยส่วนตัว ไม่ชอบวิชานี้ เข้าใจยาก ไม่สนุก และต้องแอพพลายเองล้วนๆ) และไม่ใช่แค่เรื่องคำพูดนะ ทั้งภาษากาย เช่นสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และคำพูด ทุกอย่างที่ออกมาจะต้องควบคุม รวมถึงการเป็นตัวของตัวเองด้วย เพราะคนเราจะตัดสินคนจากสิ่งที่รับรู้ ภายในเวลา กี่นาที กี่วินาทีเราจำไม่ได้แล้วอ่ะ แต่ว่าไม่นาน ฉะนั้นเราต้องสอดแทรกความเป้นตัวเองเข้าไปด้วย เพื่อให้คนเห็นเรา รู้จักเราในสิ่งที่เราเป็น
ก่อนจบชั่วโมง อาจารย์จะให้คำแนะนำ แก่นักเรียนเป็นรายตัว ว่าที่นั่งเรียนมา ใครควรปรับอะไรในแง่การสื่อสาร ก็ว่ากันไป างคนอาจารย์ก็ว่า โชว์ออฟเกินไป บางคนก็ทำหน้าไม่แสดงอารมณ์เวลาฟัง (ซึ่งควรจะทำ เช่นไม่เข้าใจก็ทำหน้างง เข้าใจก็พยักหน้าบ้างอะไรงี้) ส่วนเรา.... อาจารย์ข้ามไปรอบนึง ไม่วิจารณ์ แล้วก็ค่อยกลับมาวิจารณ์เป็นคนสุดท้ายว่า ไม่รู้จะพุดอะไรกะเราดี เอาเป็นว่าอยากให้เราแต่งตัวเปรี้ยวกว่านี้ เพราะเราดูเป็นสาวเปรี้ยว
.... เรียนเรื่องการสื่อสาร แต่วิจารณ์ให้แต่งตัวเปรี้ยวเนี่ย แสดงว่าเรื่องการสื่อสารอื่นๆ เราไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยเนี่ย แค่เรื่องการแสดงตัวตนไม่ชัดเจนเองเหรอ อืม...เป็นนักเรียนดีเด่นอีกหนึ่งคลาสแฮะเรา
ว่าแต่เราเนี่ยนะ ควรจะเปรี้ยว ?
อาจารย์สอนว่า คนเราอยากได้ความภูมิใจ อยากให้คนชื่นชม และเห็นคุณค่าของเรา ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำเพื่อให้คนเห็นคุณค่า ก็ คือ แก้ปัญหาให้เค้า ทำตัวให้เค้านับถือ หรือเคารพ และสุดท้าย ทำให้ถูกใจ (ทั้งหมดเป็นภาษาเรานะ ไม่ใช่ภาษาอาจารย์) และอาจารย์ก็สอนอีกว่า เราจะเป็นผู้พูดที่ดีได้ เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน และจะเป็นผู้ฟังที่ดีได้ก็ต้องเป็นคนถามที่ดี แล้วจะเป็นถามที่ดีได้ไง ก็ โน่นนีนั่น (จำไม่ได้ละ) คนฟังที่ดียังไง ก็ต้อง เต็มใจฟัง คนพูดที่ดี ก็ต้องพูดในสิ่งที่คนฟังอยากฟัง อะไรประมาณนี้ คือ,,,เราไม่ค่อยชอบเลยอ่ะ มันดูหลักการสวยหรู แต่ทำน่ะมันยาก เพราะอาจารย์ก็บอกทำนองว่า บอกไม่ได้ว่ายังไง เพราะต้องดูว่าใครฟัง และเราจะทำยังไงต้องดูคนให้ออก อ่านคนให้เป็น (แต่ไม่สอนว่าให้ดูยังไง)
ตอนท้ายอาจารย์บอกว่า Public speaking ไม่ใช่เเค่การพูดบนเวที การที่เราคุยกันตอนนี้ก็เป็น Public speaking นั่งเม๊าท์กะเพื่อนๆก็เป็น Public Speaking ฉะนั้น เราก็ต้องควบคุมตัวเองด้วยนะ เราก็...อืม เห็นด้วยนะ (แต่โดยส่วนตัว ไม่ชอบวิชานี้ เข้าใจยาก ไม่สนุก และต้องแอพพลายเองล้วนๆ) และไม่ใช่แค่เรื่องคำพูดนะ ทั้งภาษากาย เช่นสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และคำพูด ทุกอย่างที่ออกมาจะต้องควบคุม รวมถึงการเป็นตัวของตัวเองด้วย เพราะคนเราจะตัดสินคนจากสิ่งที่รับรู้ ภายในเวลา กี่นาที กี่วินาทีเราจำไม่ได้แล้วอ่ะ แต่ว่าไม่นาน ฉะนั้นเราต้องสอดแทรกความเป้นตัวเองเข้าไปด้วย เพื่อให้คนเห็นเรา รู้จักเราในสิ่งที่เราเป็น
ก่อนจบชั่วโมง อาจารย์จะให้คำแนะนำ แก่นักเรียนเป็นรายตัว ว่าที่นั่งเรียนมา ใครควรปรับอะไรในแง่การสื่อสาร ก็ว่ากันไป างคนอาจารย์ก็ว่า โชว์ออฟเกินไป บางคนก็ทำหน้าไม่แสดงอารมณ์เวลาฟัง (ซึ่งควรจะทำ เช่นไม่เข้าใจก็ทำหน้างง เข้าใจก็พยักหน้าบ้างอะไรงี้) ส่วนเรา.... อาจารย์ข้ามไปรอบนึง ไม่วิจารณ์ แล้วก็ค่อยกลับมาวิจารณ์เป็นคนสุดท้ายว่า ไม่รู้จะพุดอะไรกะเราดี เอาเป็นว่าอยากให้เราแต่งตัวเปรี้ยวกว่านี้ เพราะเราดูเป็นสาวเปรี้ยว
.... เรียนเรื่องการสื่อสาร แต่วิจารณ์ให้แต่งตัวเปรี้ยวเนี่ย แสดงว่าเรื่องการสื่อสารอื่นๆ เราไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยเนี่ย แค่เรื่องการแสดงตัวตนไม่ชัดเจนเองเหรอ อืม...เป็นนักเรียนดีเด่นอีกหนึ่งคลาสแฮะเรา
ว่าแต่เราเนี่ยนะ ควรจะเปรี้ยว ?
JRP วันที่ 6 : แต่งหน้้า ตอนที่ 1
วันนี้เรียนเรื่องการแต่งหน้า อาจารยสอนตั้งแต่พื้นฐานเลยว่า make up remover, cleanser, scrubb, toner, eye cream, moisturizer, กันแดด คืออะไร สำคัญยังไง ใช้ยังไง ซึ่งคนแต่งหน้าเป็นอย่างดิชั้นรู้อยู่แล้วอ่ะ ตามด้วย Makup base, primer, eyeshadow, blush, อะไรแบบนี้ คืออะไร ใช้ทำอะไร จากนั้นก็สอนให้แต่งหน้าขั้นพื้นฐานสุดๆ คือเิ่มตั้งแต่ ล้างเครื่องสำอาง ลงครีมบำรุง กันแดด จากนั้นก็สอนแต่งหน้า ที่ไม่ได้ทำไรมาก ทาแป้ง ทาอายแชโดว์ ปัดมาสคารา ปัดแก้ม ทาลิป จบ
เพราะเป็นแค่พื้นฐานเราเลยไม่มีปัญหาอะไร ชิลๆ รอดูตอนที่ 2 เพราะอาจารย์บอกว่าตอนนี้เน้นพื้นฐานก่อน ให้คนที่แต่งไม่เป็นรู้หลักก่อน คราวหน้าจะเป็นแอดวานซ์ละ
เพราะเป็นแค่พื้นฐานเราเลยไม่มีปัญหาอะไร ชิลๆ รอดูตอนที่ 2 เพราะอาจารย์บอกว่าตอนนี้เน้นพื้นฐานก่อน ให้คนที่แต่งไม่เป็นรู้หลักก่อน คราวหน้าจะเป็นแอดวานซ์ละ
JRP วันที่ 5 : การแต่งกาย ตอนที่ 1
หายไปนาน ไม่ได้มาอัพเลย เรียนไปหลายครั้งแล้วอ่ะ และก็ไม่ได้ไปเรียนหลายครั้งด้วย ไปเที่ยวมั่ง ขี้เกียจมั่ง เหอๆๆ จะจบเมื่อไหร่ฟะเนี่ย
คลาสนี้เรียนตั้งแต่ต้นเดือนเเน่ะ ชอบเหมือนกัน เรียนที่นี่ได้ความรู้ ได้มุมมองเยอะนะ นับว่าได้ประโยชน์ทีเดียว อาจารย์จะไม่เน้นเรื่องกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่า ต้องใส่อะไร สีไหนคู่สีไหน เพราะมันแล้วแต่สไตล์แล้วแต่คน ไม่อยากให้คนเรียน JRP แล้วแต่งตัวแบบเดียวกันเป็นแพทเทิร์น อาจารย์จะพูดรวมๆ เช่นขากางเกงต้องยาวประมาณไหน เสื้อผ้าแบบไหน สีอะไร ควรหลีกเลี่ยง แล้วก้ให้แต่ละคนบอกจุดด้อยของตัวเอง เช่น ขาใหญ่ ก้นใหญ่ เพราะ คนเราจะแต่งตัวดูดี ต้องรู้จักรูปร่างตัวเอง จุดดี จุดด้อย จะได้รู้จักเสริมจุดเด่น กลบจุดด้อย แล้วก็ให้เพื่อนๆช่วยดูว่าจุดด้อย หรือจุดที่เรากังวลน่ะ เป็นปัญหาจริงๆรึป่าว แล้อาจารย์ก็จะแนะนำให้แต่งตัวเสิรมจุดเด่น กลบจุดด้อยตัวเอง แล้วถ้าชุดที่ใครแต่งมาไม่เหมาะกับตัวเอง อาจารย์ก็จะบอก และแนะนำให้
สำหรับเรา เราว่าปัญหาการแต่งตัวเราคือ เราไม่มีอก ไม่มีเอว ไม่มีก้น ใส่อะไรก็ดูแบนๆ ดูผอมๆ แต่วันนั้นเราดันใส่ชุดแซกกระโปรงทิวลิปไป เลยดูมีสะโพก เพื่อนๆเลยไม่เห็นด้วยว่าเรามีปัญหาซะงั้น แต่อาจารย์แนะนำว่า ถ้ากังวลก็ให้ใส่เสื้อผ้าที่มีเลเยอร์ หรือ วอลุ่ม เช่นใส่เสือแจ๊กเก็ตทับอีกชั้น ใส่กระโปรงขนมชั้น หรือ ใส่ผ้าหนาๆที่มีเทกซเจอร์
ชอบที่อาจารย์แนะนำอีกอย่างคือ เวลาจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้คิดว่า จะใส่ไปไหน และ ใส่กับอะไร ถ้าตอบคำถามสองข้อนี้ไม่ได้ ไม่ต้องซื้อ เพราะคนส่วนใหญ่ซื้อเื้อผ้ามา บางทีไม่ได้ใส่ซะงั้น เปลือง
สำหรับตอนที่ 2 อาจารย์ให้แบกเสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตประจำวันและทำงานมาคนละ 5-6 ชุด เพื่อจะมาดูว่าใครแต่งตัวยังไง เหมาะไม่เหมาะ อาจารย์จะแนะนำให้ แต่ไอ้ตอนที่ 2 เนี่ย เราไม่มาเรียน ก็เลย....รอไปก่อน ไว้ไปเรียนแล้วอาจารย์ว่าไงจะมาอัพอีกที
คลาสนี้เรียนตั้งแต่ต้นเดือนเเน่ะ ชอบเหมือนกัน เรียนที่นี่ได้ความรู้ ได้มุมมองเยอะนะ นับว่าได้ประโยชน์ทีเดียว อาจารย์จะไม่เน้นเรื่องกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่า ต้องใส่อะไร สีไหนคู่สีไหน เพราะมันแล้วแต่สไตล์แล้วแต่คน ไม่อยากให้คนเรียน JRP แล้วแต่งตัวแบบเดียวกันเป็นแพทเทิร์น อาจารย์จะพูดรวมๆ เช่นขากางเกงต้องยาวประมาณไหน เสื้อผ้าแบบไหน สีอะไร ควรหลีกเลี่ยง แล้วก้ให้แต่ละคนบอกจุดด้อยของตัวเอง เช่น ขาใหญ่ ก้นใหญ่ เพราะ คนเราจะแต่งตัวดูดี ต้องรู้จักรูปร่างตัวเอง จุดดี จุดด้อย จะได้รู้จักเสริมจุดเด่น กลบจุดด้อย แล้วก็ให้เพื่อนๆช่วยดูว่าจุดด้อย หรือจุดที่เรากังวลน่ะ เป็นปัญหาจริงๆรึป่าว แล้อาจารย์ก็จะแนะนำให้แต่งตัวเสิรมจุดเด่น กลบจุดด้อยตัวเอง แล้วถ้าชุดที่ใครแต่งมาไม่เหมาะกับตัวเอง อาจารย์ก็จะบอก และแนะนำให้
สำหรับเรา เราว่าปัญหาการแต่งตัวเราคือ เราไม่มีอก ไม่มีเอว ไม่มีก้น ใส่อะไรก็ดูแบนๆ ดูผอมๆ แต่วันนั้นเราดันใส่ชุดแซกกระโปรงทิวลิปไป เลยดูมีสะโพก เพื่อนๆเลยไม่เห็นด้วยว่าเรามีปัญหาซะงั้น แต่อาจารย์แนะนำว่า ถ้ากังวลก็ให้ใส่เสื้อผ้าที่มีเลเยอร์ หรือ วอลุ่ม เช่นใส่เสือแจ๊กเก็ตทับอีกชั้น ใส่กระโปรงขนมชั้น หรือ ใส่ผ้าหนาๆที่มีเทกซเจอร์
ชอบที่อาจารย์แนะนำอีกอย่างคือ เวลาจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้คิดว่า จะใส่ไปไหน และ ใส่กับอะไร ถ้าตอบคำถามสองข้อนี้ไม่ได้ ไม่ต้องซื้อ เพราะคนส่วนใหญ่ซื้อเื้อผ้ามา บางทีไม่ได้ใส่ซะงั้น เปลือง
สำหรับตอนที่ 2 อาจารย์ให้แบกเสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตประจำวันและทำงานมาคนละ 5-6 ชุด เพื่อจะมาดูว่าใครแต่งตัวยังไง เหมาะไม่เหมาะ อาจารย์จะแนะนำให้ แต่ไอ้ตอนที่ 2 เนี่ย เราไม่มาเรียน ก็เลย....รอไปก่อน ไว้ไปเรียนแล้วอาจารย์ว่าไงจะมาอัพอีกที
Tuesday, July 20, 2010
Matsuzaka Beef
โอหลั่นล๊าาาาาา บอกลาชีวิตมนุษย์ปกติ มากินมัง วงเล็บว่า เป็นบางมื้อ
ทำให้หวนระลึกถึงความหลัง กับสุดยอดเนื้อวัว มัตซึซากะ เนื้อนุ่ม ไขมันละลายในปาก อ๊ากกกกกกก เคยกินมาทั้งแบบ Steak,Tepanyaki, Shabu Shabu, Sukiyaki อยากบอกว่าแบบชาบูชาบูอร่อยสุด (เพราะเราชอบเนื้อดิบๆหน่อย)
ล่าสุดไปกินมาก่อนตัดสินใจกินมังได้สามวัน อาหย่อยๆ
Matsizaka Tepanyaki จ้า
เป็นบล๊อกที่ไร้สาระมากวันนี้ 555
ทำให้หวนระลึกถึงความหลัง กับสุดยอดเนื้อวัว มัตซึซากะ เนื้อนุ่ม ไขมันละลายในปาก อ๊ากกกกกกก เคยกินมาทั้งแบบ Steak,Tepanyaki, Shabu Shabu, Sukiyaki อยากบอกว่าแบบชาบูชาบูอร่อยสุด (เพราะเราชอบเนื้อดิบๆหน่อย)
ล่าสุดไปกินมาก่อนตัดสินใจกินมังได้สามวัน อาหย่อยๆ
Matsizaka Tepanyaki จ้า
เป็นบล๊อกที่ไร้สาระมากวันนี้ 555
Monday, July 12, 2010
just started to be vegetarian
เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
เหอะๆๆๆ ตอนนี้พบว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพบางประการ (เเต่ยังไม่อยากเล่าให้ฟังอ่ะ) ก็เลยตัดสินใจว่าเราจะกินมังสวิรัส (เขียนไงเนี่ย) เเต่ก็คงกินแบบไม่ให้ตัวเองเดือดร้อนมาก คือกินเท่าที่กินได้ ถ้าไปสังสรรกับเพื่อนๆก็คงกินตามปกติ แต่อาจจะกินเนื้อน้อยหน่อย หรืออาจจะไม่กินเลย (แล้วแต่สถานการณ์ เเต่คงไม่เคร่งมาก) เเต่ถ้าไปไหนที่เราสามารถหามังสวิรัสกินได้ ก็คงจะพยายามกินมังสวิรัส
เพื่อสุขภาพ..........
เหอะๆๆๆ ตอนนี้พบว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพบางประการ (เเต่ยังไม่อยากเล่าให้ฟังอ่ะ) ก็เลยตัดสินใจว่าเราจะกินมังสวิรัส (เขียนไงเนี่ย) เเต่ก็คงกินแบบไม่ให้ตัวเองเดือดร้อนมาก คือกินเท่าที่กินได้ ถ้าไปสังสรรกับเพื่อนๆก็คงกินตามปกติ แต่อาจจะกินเนื้อน้อยหน่อย หรืออาจจะไม่กินเลย (แล้วแต่สถานการณ์ เเต่คงไม่เคร่งมาก) เเต่ถ้าไปไหนที่เราสามารถหามังสวิรัสกินได้ ก็คงจะพยายามกินมังสวิรัส
เพื่อสุขภาพ..........
Sunday, July 4, 2010
สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป
ได้ Fwd mail มา เดาว่าเป็นของท่าน ว วชิรเมธี นะ อ่านเเล้วชอบมาก ขอเอามาลงไว้เตือนสติตัวเองหน่อยเหอะ
สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป
เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”
ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)
ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”
เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตามที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ
เรามีเวลาไม่มากนักหรอก ที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
..................ไม่มีใคร ทำให้คนทุกคนรักเราได้.....................
.......อาจจะมีคน ชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........
...............แคร์คนที่ แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา..............
..............มีมิตรแท้ เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100.............
สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป
เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”
ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)
ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”
เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตามที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ
เรามีเวลาไม่มากนักหรอก ที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
..................ไม่มีใคร ทำให้คนทุกคนรักเราได้.....................
.......อาจจะมีคน ชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........
...............แคร์คนที่ แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา..............
..............มีมิตรแท้ เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100.............
ตัดผมดีกว่า
อัดอั้นตันใจอยากตัดผมสั้นมาหลายเดือนแต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคุณแม่ขอร้อง
พี่ชายสุดที่เลิฟจะเเต่งงานปลายเดือนมิถุนา แม่กลัวว่าผมสั้นจะไม่เข้ากับชุดออกงานสวยๆ และทำผมงามๆไม่ได้ เราเลยต้อง อดทน อดทน และ อดทน พองานแต่งพี่แบงก์จบ เราก็เเจ้นไปตัดผมทันที 555
Before ผมยาวแล้ว (ในรูปผมดูเป็นทรงเพราะเพิ่งรื้อทรงที่ช่างเค้าเซ็ทไว้ตอนงานวันหมั้นพี่แบงก์ แต่ของจริงน่ะ ลอนคลายหมดแล้ว)
อยากตัดสั้นมากๆ ไม่คิดไร บอกช่างว่าอยากได้ทรงศรีริต้า (อยากรู้ไป Search ดูเอง) ช่างก็จัดให้ตัดบ๊อบเท (ทรงน้องริต้านี่บ๊อบเทเหรอ นึกว่าบ๊อบธรรมดานะเนี่ย) จากนั้นก็ดัด เพราะหัวเราลีบมากกกกกก ทรงน้องศรีริต้าต้องพองๆฟู เน่นกับช่างมากว่า ไม่เอาหยิกนะพี่ ขอแค่พองๆ ดัดยกโคนก็พอ
ออกมาเป็นแบบนี้ จากศรีริต้าก็เป็นทรงสก๊อยเกาหลีไป (มีเเต่คนทักว่าทรงนางเอกเกาหลี จริงๆชั้นตัดทรงศรีริต้านะ ฮึ่ม!!!)
หัวก็ดูหยิกๆ เพราะเพิ่งดัด แอบเสียเซลฟ์ว่าไหนช่างบอกว่ามันไม่หยิกไง ฮือๆ แต่พอสระเองปุ๊ป เออ...ไม่หยิกเเล้วจริงๆด้วย เป็นหัวพองๆ เหมือนหัวเห็ดแทน ดีๆ นี่แหละที่ต้องการ ออกมาดังรูป เเต่ถ่ายมามันไม่ค่อยเห็นว่าพองอ่ะ ของจริงพองกว่านี้
พอตัดผมแล้วแต่งตัวยากอ่ะ รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่มีไม่เข้ากับทรงผม เลยต้องเสียเวลามามิกซ์แอนด์แมชท์ชุดทุกเช้าเลยอ่ะ
พี่ชายสุดที่เลิฟจะเเต่งงานปลายเดือนมิถุนา แม่กลัวว่าผมสั้นจะไม่เข้ากับชุดออกงานสวยๆ และทำผมงามๆไม่ได้ เราเลยต้อง อดทน อดทน และ อดทน พองานแต่งพี่แบงก์จบ เราก็เเจ้นไปตัดผมทันที 555
Before ผมยาวแล้ว (ในรูปผมดูเป็นทรงเพราะเพิ่งรื้อทรงที่ช่างเค้าเซ็ทไว้ตอนงานวันหมั้นพี่แบงก์ แต่ของจริงน่ะ ลอนคลายหมดแล้ว)
อยากตัดสั้นมากๆ ไม่คิดไร บอกช่างว่าอยากได้ทรงศรีริต้า (อยากรู้ไป Search ดูเอง) ช่างก็จัดให้ตัดบ๊อบเท (ทรงน้องริต้านี่บ๊อบเทเหรอ นึกว่าบ๊อบธรรมดานะเนี่ย) จากนั้นก็ดัด เพราะหัวเราลีบมากกกกกก ทรงน้องศรีริต้าต้องพองๆฟู เน่นกับช่างมากว่า ไม่เอาหยิกนะพี่ ขอแค่พองๆ ดัดยกโคนก็พอ
ออกมาเป็นแบบนี้ จากศรีริต้าก็เป็นทรงสก๊อยเกาหลีไป (มีเเต่คนทักว่าทรงนางเอกเกาหลี จริงๆชั้นตัดทรงศรีริต้านะ ฮึ่ม!!!)
หัวก็ดูหยิกๆ เพราะเพิ่งดัด แอบเสียเซลฟ์ว่าไหนช่างบอกว่ามันไม่หยิกไง ฮือๆ แต่พอสระเองปุ๊ป เออ...ไม่หยิกเเล้วจริงๆด้วย เป็นหัวพองๆ เหมือนหัวเห็ดแทน ดีๆ นี่แหละที่ต้องการ ออกมาดังรูป เเต่ถ่ายมามันไม่ค่อยเห็นว่าพองอ่ะ ของจริงพองกว่านี้
พอตัดผมแล้วแต่งตัวยากอ่ะ รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่มีไม่เข้ากับทรงผม เลยต้องเสียเวลามามิกซ์แอนด์แมชท์ชุดทุกเช้าเลยอ่ะ
Subscribe to:
Posts (Atom)