ถอยมือถือมาใหม่ค๊าบบบบบบ
น้อง Blackeberry curve 8520 สีฟ้าน่ารัก เพิ่งซื้อได้ประมาณอาทิตย์เดียวเอง ยังเล่นอะไรไม่ค่อยเป็นเลยอ่ะ ดีนะมีเพื่อนเเละน้องคอยสอน อิอิ
ส่วนมือถือเก่า น้อง HTC Diamond ของเรา ก็ยังใช้อยู่นะ ถ้าถามเรา จริงๆน้อง Diamond น่ะ ตอบโจทย์การใช้งานของเราได้ดีกว่าล่ะ มีที่ไม่ค่อยประทับใจอย่างเดียวคือ กล้องมันถ่ายยาก
รักพี่เสียดายน้องแบบนี้ก็เลยทำให้ ไม่สามารถใช้มือถือเครื่องเดียวได้ไง เลยถอยมาอีกเบอร์ เหอะๆๆ
ใช้มือถือสองเครื่อง มันก็เป็นความลำบากของชีวิต (เรียกว่ารนหาที่เอง) มันพกยากอ่ะ ยิ่งเวลาลงไปทานข้าวกลางวันใต้ออฟฟิศเนี่ย มือถือ สองเครื่อง กระเป๋าตังก์ อีกหนึ่งใบ โห.....ถือเเทบไม่ไหว มันเยอะเกิน ตอนนี้เลยต้องมองหากระเป๋าเล็กๆ เเต่ว่ายังไม่เจอที่ถูกใจเลยอ่ะ ตอนนี้ก็เลยต้องเเบกกันต่อไป
ปกติเพื่อนๆที่ทำงานเค้าเรียกเราว่า บุ๋นบุ๋น (ฟังดูน่ารักดีนะ) เค้าก็เลยบอกว่า บีบี เนี่ยเป็นมือถือสำหรับบุ๋นบุ๋นเลยนะ เพราะบีบี เนี่ย ก็ย่อมาจากชื่อ บุ๋นบุ๋น นี่เอง 5555
Thursday, December 31, 2009
Saturday, December 26, 2009
หน้าโหลวันละนิด
พี่แบงก์ส่งเอ็มวีเพลงนี้มาให้ดู บอกว่านางเอกเอ็มวีหน้าคล้ายเรา เอ่อ.... จริงๆเราก็ว่าคล้ายนะ หน้าโหลอีกเเล้วตู พี่ที่ทำงานบอกว่าคล้าย แต่บุ๋นสวยกว่า ฮิ้ววววววว แต่ว่าเค้าเด็กกว่าเยอะ ง่ะ แก่เเล้วเหรอเนี่ยเรา
Monday, December 14, 2009
He's just not that into you
หนังเรื่องโปรดตอนนี้เลยอ่ะ จริงๆหนังก็นานเเล้วเหมือนกันนะ แต่เราเพิ่งนั่งดู DVD เมื่อเร็วๆนี้เอง ชอบมากๆ การดำเนินเรื่องสไตล์เดียวกับ Love actually มีตัวดำเนินเรื่องหลายคู่ คนนั้นเป็นแฟนคนนี้ คนนี้เป็นเพื่อนคนนั้น
ดูเเล้วรู้สึกว่ามันตรงกะชีวิตคนเราเลยนะ เฮ้อ.....
แนะนำๆ สนุกดี
ลง Trailor หนังเรื่องนี้ไว้สองแบบเลย ชอบ
มันก็แค่... He's just not that into you
ดูเเล้วรู้สึกว่ามันตรงกะชีวิตคนเราเลยนะ เฮ้อ.....
แนะนำๆ สนุกดี
ลง Trailor หนังเรื่องนี้ไว้สองแบบเลย ชอบ
มันก็แค่... He's just not that into you
Thursday, November 12, 2009
My twin
มีใครรู้บ้างว่าเรามีฝาแฝดด้วยนะ
เรื่องของเรื่องก็คือ มีพี่ที่ทำงานคนนึง (เค้าว่ากันว่า) หน้าตาเราสองคนเหมือนกันมาก เหมือนกับเป็นพี่น้องกันเลย แต่เราว่า...เหมือนเป็นฝาแฝดกันมากกว่า เพราะว่าคนจำผิดประจำเลยอ่ะ
1. เคยไปออฟฟิศที่ระยอง เจอพนักงานที่โน่นทักว่า "ขอโทษนะคะ ใช่พี่ P เลขาคุณ I รึป่าวคะ" ง่ะ....ไม่ใช่ค่ะ นี่บุ๋นเองค่ะ
2. ไป audit คนอินเดียคนนึง แล้วขอให้เค้าส่งเอกสารเข้าเมลให้หน่อย เค้าก็เปิดเมลจะส่งให้เรา ทีนี้เมลบริษัทมันเป็นเมลชื่อ + อักษรตัวเเรกของนามสกุล แกก็เลยกันมาถามเราว่า "ยู ชื่อ Parichart C หรือ P นะ" (ปาริชาด คือชื่อจริงของพี่ P) ง่ะ.........ไม่ใช่นะ ไอชื่อ Vakkapun ขนาดคนต่างชาติยังจำหน้าผิดเลยคิดดู
3. ร้านอาหารตามสั่งที่โรงอาหาร เราสั่ง มักกะโรนีกุ้ง พี่ P เดินมายืนข้างๆเรา สั่งราดหน้าทะเล ยืนรอซักพัก ราดหน้าทะเลออกมาส่ง แต่มักกะโรนีไม่มา (เนื่องด้วยเค้าคิดว่าเรากะพี่P เป็นคนๆเดียวกัน ก็เลยทำแต่ออเดอร์หลังเพราะคิดว่า เราเปลี่ยนใจจะสั่งราดหน้าแทน)
4. พี่ B ผู้จัดการเก่าแก่ เก๋าเกมอยู่มานาน (ผู้ชายนะ) วันนั้นเค้าบอกเลขาเค้าว่า เนี่ยมีคนสนใจจะซื้อวีออสต่อ (รถบริษัท) ช่วยส่งรายละเอียดไปให้เค้าหน่อย พี่เลขาก็ถามว่าใคร พี่ B ตอบว่า "ผู้หญฺิง แผนก QHSE ชื่อไรจำไม่ได้ ขึ้นต้นด้วยตัว V อ่ะ" เหอะๆๆๆ พี่เลขาก็เลยมาถามเรา (เพราะทั้งแผนก ชื่อตัว V มีเราคนเดียว) แต่เราไม่ได้คุยกะ พี่ B มานานเเล้วนะ แกจำผิดคนแน่ๆ แต่พี่เลขาบอกว่าแกยืนยันหนักแน่นมากว่าเป็น QHSE ช่ือตัว V เนี่ยเเหละ เราเลยบอกว่า พี่เลขาลองถามพี่ P ดูนะ บุ๋นว่าต้องเป็นพี่ P แน่เลย พี่ B คงจำผิดคน ปรากฎว่าเป็นพี่ P จริงๆด้วยล่ะ ที่สนใจจะซื้อรถ
นอกจากนี้ยังมีความบังเอิญอีกหลายอย่างที่ทำให้คนสับสนกะเราสองคน หัวหน้าพี่ P เป็นคนอังกฤษ อ้ะ...ว่าจะไม่บอกว่าพี่ P ชื่ออะไร เเต่ถ้าไม่บอกก็เล่าเรื่องนี้ไม่ได้นี่หว่า พี่ P ก็คือ พี่ Ple อ่ะ ต่อๆ ทีนี้คนอังกฤษ คุณ I เนี่ย ออกเสียงชื่อเปิ้ลไม่ได้ เค้าออกเสียงเป็น บัน เบิน อะไรประมาณนี้ เเล้วเวลาส่งเมล ว่าให้ส่งเอกสารให้พี่เปิ้ลที่เป็นเลขาเค้า เค้าจะบอกว่า Send to Bun คิดว่าอะไรจะเกิดล่ะ แน่นอน มีคนส่วนหนึ่งส่งมาให้เรา แทนที่จะส่งให้พี่เปิ้ล
ความบังเอิญอีกอย่างคือ เบอร์โต๊ะเราเลขใกล้กัน โต๊ะเรา 4419 โต๊ะพี่เปิ้ล 4119 ไม่ต้องคิดเลย เจอคนโทรผิด ประมาณเดิอนละ สองสามครั้ง
หรือเราสองคนจะเป็นเนื้อคู่ เอ๊ย เป็นฝาแฝดกันจริงๆล่ะเนี่ย
เหมือนมั้ยๆ เราว่าไม่เหมือนนะ แต่คนทักผิดบ่อยขนาดนี้ ยอมรับว่าเหมือนกันก็ได้ฟะ
เรื่องของเรื่องก็คือ มีพี่ที่ทำงานคนนึง (เค้าว่ากันว่า) หน้าตาเราสองคนเหมือนกันมาก เหมือนกับเป็นพี่น้องกันเลย แต่เราว่า...เหมือนเป็นฝาแฝดกันมากกว่า เพราะว่าคนจำผิดประจำเลยอ่ะ
1. เคยไปออฟฟิศที่ระยอง เจอพนักงานที่โน่นทักว่า "ขอโทษนะคะ ใช่พี่ P เลขาคุณ I รึป่าวคะ" ง่ะ....ไม่ใช่ค่ะ นี่บุ๋นเองค่ะ
2. ไป audit คนอินเดียคนนึง แล้วขอให้เค้าส่งเอกสารเข้าเมลให้หน่อย เค้าก็เปิดเมลจะส่งให้เรา ทีนี้เมลบริษัทมันเป็นเมลชื่อ + อักษรตัวเเรกของนามสกุล แกก็เลยกันมาถามเราว่า "ยู ชื่อ Parichart C หรือ P นะ" (ปาริชาด คือชื่อจริงของพี่ P) ง่ะ.........ไม่ใช่นะ ไอชื่อ Vakkapun ขนาดคนต่างชาติยังจำหน้าผิดเลยคิดดู
3. ร้านอาหารตามสั่งที่โรงอาหาร เราสั่ง มักกะโรนีกุ้ง พี่ P เดินมายืนข้างๆเรา สั่งราดหน้าทะเล ยืนรอซักพัก ราดหน้าทะเลออกมาส่ง แต่มักกะโรนีไม่มา (เนื่องด้วยเค้าคิดว่าเรากะพี่P เป็นคนๆเดียวกัน ก็เลยทำแต่ออเดอร์หลังเพราะคิดว่า เราเปลี่ยนใจจะสั่งราดหน้าแทน)
4. พี่ B ผู้จัดการเก่าแก่ เก๋าเกมอยู่มานาน (ผู้ชายนะ) วันนั้นเค้าบอกเลขาเค้าว่า เนี่ยมีคนสนใจจะซื้อวีออสต่อ (รถบริษัท) ช่วยส่งรายละเอียดไปให้เค้าหน่อย พี่เลขาก็ถามว่าใคร พี่ B ตอบว่า "ผู้หญฺิง แผนก QHSE ชื่อไรจำไม่ได้ ขึ้นต้นด้วยตัว V อ่ะ" เหอะๆๆๆ พี่เลขาก็เลยมาถามเรา (เพราะทั้งแผนก ชื่อตัว V มีเราคนเดียว) แต่เราไม่ได้คุยกะ พี่ B มานานเเล้วนะ แกจำผิดคนแน่ๆ แต่พี่เลขาบอกว่าแกยืนยันหนักแน่นมากว่าเป็น QHSE ช่ือตัว V เนี่ยเเหละ เราเลยบอกว่า พี่เลขาลองถามพี่ P ดูนะ บุ๋นว่าต้องเป็นพี่ P แน่เลย พี่ B คงจำผิดคน ปรากฎว่าเป็นพี่ P จริงๆด้วยล่ะ ที่สนใจจะซื้อรถ
นอกจากนี้ยังมีความบังเอิญอีกหลายอย่างที่ทำให้คนสับสนกะเราสองคน หัวหน้าพี่ P เป็นคนอังกฤษ อ้ะ...ว่าจะไม่บอกว่าพี่ P ชื่ออะไร เเต่ถ้าไม่บอกก็เล่าเรื่องนี้ไม่ได้นี่หว่า พี่ P ก็คือ พี่ Ple อ่ะ ต่อๆ ทีนี้คนอังกฤษ คุณ I เนี่ย ออกเสียงชื่อเปิ้ลไม่ได้ เค้าออกเสียงเป็น บัน เบิน อะไรประมาณนี้ เเล้วเวลาส่งเมล ว่าให้ส่งเอกสารให้พี่เปิ้ลที่เป็นเลขาเค้า เค้าจะบอกว่า Send to Bun คิดว่าอะไรจะเกิดล่ะ แน่นอน มีคนส่วนหนึ่งส่งมาให้เรา แทนที่จะส่งให้พี่เปิ้ล
ความบังเอิญอีกอย่างคือ เบอร์โต๊ะเราเลขใกล้กัน โต๊ะเรา 4419 โต๊ะพี่เปิ้ล 4119 ไม่ต้องคิดเลย เจอคนโทรผิด ประมาณเดิอนละ สองสามครั้ง
หรือเราสองคนจะเป็นเนื้อคู่ เอ๊ย เป็นฝาแฝดกันจริงๆล่ะเนี่ย
เหมือนมั้ยๆ เราว่าไม่เหมือนนะ แต่คนทักผิดบ่อยขนาดนี้ ยอมรับว่าเหมือนกันก็ได้ฟะ
Friday, November 6, 2009
salon from hell
เมื่อวานออกไปทำงานแต่เช้าเพื่อไปสระไดร์ที่ร้าน (ก็อากาศมันหนาว แล้วเค้าเป็นหวัด สระเองกลัวจะเป็นหวัดหนักกว่าเดิม) ไปถึงปุ๊ป ก็กวาดสายตามองหาร้านที่คนน้อยๆทันที (จริงๆเรามีร้านประจำนะ เอ....เรียกว่าร้านประจำก็ไม่ถูก เพราะว่าไม่ได้เข้าบ่อย ปีนึงมาสระไดร์ร้านแค่ 2-3 ครั้งเอง แต่ว่ามาทีไรก็จะเข้าร้านเดิมประจำ แต่ร้านประจำคนเยอะทุกทีเลย วันนี้กลัวเข้างานไม่ทัน เลยไม่เอาดีกว่า)
ไปเจอร้านนึงคนน้อยมาก มีคนนั่งไดร์อยู่แค่คนเดียว เดินเข้าไปเลยด้วยใจมาดมั่น
สระผมเสร็จ คนที่เข้ามาก่อนเราเค้าก็ออกไปแล้ว ทั้งร้านเลยเหลือเราอยู่คนเดียว ช่างสองคนก็เลยมาช่วยกันทึ้งหัวเรา
ตอนไดร์ เรารู้สึกว่าพอเค้าปล่อยผมช่อที่ไดร์เสร้จเเล้วมาโดนหน้าเรา มันร้อนมากๆๆๆๆ (แต่ทนได้) คิดในใจว่าสงสัยเราไม่ได้เข้าร้านทำผมนาน เลยไม่ชิน มองผ่านหางตา เห็นเหมือนมีควันขาวๆพวยพุ่งออกมาจากผมเรา (นึกสภาพว่าเอาเตารีดไปวางทาบบนผ้าที่พรมน้ำอ่ะ มันจะมีควันขาวๆลอยออกมา แบบนั้นเลย) เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ก้มหน้าก้มตาอ่าน Gossip ต่อไป พอไดร์ผมใกล้จะเสร็จ (เค้ากำลังใส่พวกแวกซ์ให้) มีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามา พร้อมกับพูดว่า โอ๊ย ควันอะไรเนี่ยเต็มร้านเลย
เราเลยเงยหน้า สะบัดผมที่บังลูกกะตาออก โอ้.....ควันอะไรฟะ ขาวๆ เต็มร้านเลย อย่างกะเมืองในหมอก (เเต่ไม่มีกลิ่นนะ) เราก็เลยถามช่างว่า ควันอะไรอ่ะ ช่างตอบว่า ควันที่ไดร์ผมอ่ะคะ เเล้วก็หลบตาเรา เดินไปเปิดประตูร้าน พร้อมพูดต่อว่า เปิดประตูดีกว่าจะได้ระบายควัน
เง้อ......ไอ้ควันเนี่ย มันคือควันจากการไดร์ผมชั้นใช่มั้ย ไดร์บ้าอะไรฟะ !!!!! เราก็ไม่อยากมีเรื่องอ่ะนะ ไม่สบายอยู่ แถมแปดโมงเเล้ว ได้ยินเสียงเพลงชาติไทยลอยมา รีบไปทำงานดีกว่า
แต่ที่แน่ๆ ร้านนี้ไม่เข้าอีกแล้ว salon from hell ชัดๆ มิน่าล่ะ ร้านถึงไม่มีคนเลย
ไปเจอร้านนึงคนน้อยมาก มีคนนั่งไดร์อยู่แค่คนเดียว เดินเข้าไปเลยด้วยใจมาดมั่น
สระผมเสร็จ คนที่เข้ามาก่อนเราเค้าก็ออกไปแล้ว ทั้งร้านเลยเหลือเราอยู่คนเดียว ช่างสองคนก็เลยมาช่วยกันทึ้งหัวเรา
ตอนไดร์ เรารู้สึกว่าพอเค้าปล่อยผมช่อที่ไดร์เสร้จเเล้วมาโดนหน้าเรา มันร้อนมากๆๆๆๆ (แต่ทนได้) คิดในใจว่าสงสัยเราไม่ได้เข้าร้านทำผมนาน เลยไม่ชิน มองผ่านหางตา เห็นเหมือนมีควันขาวๆพวยพุ่งออกมาจากผมเรา (นึกสภาพว่าเอาเตารีดไปวางทาบบนผ้าที่พรมน้ำอ่ะ มันจะมีควันขาวๆลอยออกมา แบบนั้นเลย) เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ก้มหน้าก้มตาอ่าน Gossip ต่อไป พอไดร์ผมใกล้จะเสร็จ (เค้ากำลังใส่พวกแวกซ์ให้) มีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามา พร้อมกับพูดว่า โอ๊ย ควันอะไรเนี่ยเต็มร้านเลย
เราเลยเงยหน้า สะบัดผมที่บังลูกกะตาออก โอ้.....ควันอะไรฟะ ขาวๆ เต็มร้านเลย อย่างกะเมืองในหมอก (เเต่ไม่มีกลิ่นนะ) เราก็เลยถามช่างว่า ควันอะไรอ่ะ ช่างตอบว่า ควันที่ไดร์ผมอ่ะคะ เเล้วก็หลบตาเรา เดินไปเปิดประตูร้าน พร้อมพูดต่อว่า เปิดประตูดีกว่าจะได้ระบายควัน
เง้อ......ไอ้ควันเนี่ย มันคือควันจากการไดร์ผมชั้นใช่มั้ย ไดร์บ้าอะไรฟะ !!!!! เราก็ไม่อยากมีเรื่องอ่ะนะ ไม่สบายอยู่ แถมแปดโมงเเล้ว ได้ยินเสียงเพลงชาติไทยลอยมา รีบไปทำงานดีกว่า
แต่ที่แน่ๆ ร้านนี้ไม่เข้าอีกแล้ว salon from hell ชัดๆ มิน่าล่ะ ร้านถึงไม่มีคนเลย
Monday, November 2, 2009
ลอยกระทงงงงงงงง
กิจว้ตรประจำของทุกปี คือไปลอยกระทง ปีนี้เน้นง่าย (จริงๆก็เน้นง่ายทุกปีแหละ) ไปลอยที่วัดแถวบ้านคุณแฟน อยู่ตรงพระราม 3 วัดมันอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาเลย เราก็เลยได้ลอยกระทงในเเม่น้ำเจ้าพระยาอีกหนึ่งปี
แต่...ลอยในวัดปีนี้มันไม่ได้อารมณ์เลยอ่ะ เพราะว่าคนเยอะ ม่ายช่ายยยยยย ที่ไหนก็คนเยอะทั้งนั้น อันนี้ไม่เกี่ยวอ่ะ ที่เซ็งก็คือ ที่ท่าน้ำ มันมีเด็กๆว่ายน้ำ ซัก 4-5 คน เดาว่าคงเป็นเด็กวัดน่ะเเหละ คือ...ว่ายกันริมตลิ่งน่ะเเหละ น้ำกระเพื่อมไปมา แล้วตูจะลอยยังไงวะ ไม่ต้องห่วงน้องๆพวกนี้หวังดี บางคนก็รับกระทงจากมือเจ้าของไปปล่อยในน้ำไกลๆให้ (ไกลมากกกก ห่างจากฝั่งตั้งหนึ่งจ้ำ) บางคนก็ช้อนกระทงที่คนเค้าเพิ่งปล่อยลงน้ำ เอาไปปล่อยในน้ำไกลๆ หนึ่งจ้ำอีกเช่นกัน เเล้วก็ว่ายกันไปมา น้ำกระเพื่อม กระทงลอยไม่เป็นระส่ำเลย เฮ้อ...........
ที่สำคัญอีชั้นกะคุณแฟนปล่อยกระทงเคียงคู่กัน ลอยคู่กันน่ารักน่าเอ็นดู แต่....ยังไม่ทันได้ชื่นชมกระทงเลย ไอ้เด็กน้อยมันก็ช้อนกระทงเราข้างนึง คุณแฟนข้างนึง ไปปล่อยในน้ำระยะห่างจากจุดสตาร์ทประมาณหนึ่งเมตร ทีนี้มันวางคนละมือ และวางไม่พร้อมกัน กระทงเลยไม่ลอยคู่กันเลย เซ็งเป็ดจริงๆ
ถึงจะแอบเซ็งเล็กน้อย เต่ก็อิ่มอกอิ่มใจ เพราะว่ากระทงที่เราซื้อเป็นกระทงที่วัดทำเอง เอาเงินหยอดลงกล่องบริจาคของวัด เเล้วก็หยิบกระทงไปหนึ่งอัน อืม.....ได้บุญ ได้ทำนุบำรุงศาสนา ดีใจจัง
แต่...ลอยในวัดปีนี้มันไม่ได้อารมณ์เลยอ่ะ เพราะว่าคนเยอะ ม่ายช่ายยยยยย ที่ไหนก็คนเยอะทั้งนั้น อันนี้ไม่เกี่ยวอ่ะ ที่เซ็งก็คือ ที่ท่าน้ำ มันมีเด็กๆว่ายน้ำ ซัก 4-5 คน เดาว่าคงเป็นเด็กวัดน่ะเเหละ คือ...ว่ายกันริมตลิ่งน่ะเเหละ น้ำกระเพื่อมไปมา แล้วตูจะลอยยังไงวะ ไม่ต้องห่วงน้องๆพวกนี้หวังดี บางคนก็รับกระทงจากมือเจ้าของไปปล่อยในน้ำไกลๆให้ (ไกลมากกกก ห่างจากฝั่งตั้งหนึ่งจ้ำ) บางคนก็ช้อนกระทงที่คนเค้าเพิ่งปล่อยลงน้ำ เอาไปปล่อยในน้ำไกลๆ หนึ่งจ้ำอีกเช่นกัน เเล้วก็ว่ายกันไปมา น้ำกระเพื่อม กระทงลอยไม่เป็นระส่ำเลย เฮ้อ...........
ที่สำคัญอีชั้นกะคุณแฟนปล่อยกระทงเคียงคู่กัน ลอยคู่กันน่ารักน่าเอ็นดู แต่....ยังไม่ทันได้ชื่นชมกระทงเลย ไอ้เด็กน้อยมันก็ช้อนกระทงเราข้างนึง คุณแฟนข้างนึง ไปปล่อยในน้ำระยะห่างจากจุดสตาร์ทประมาณหนึ่งเมตร ทีนี้มันวางคนละมือ และวางไม่พร้อมกัน กระทงเลยไม่ลอยคู่กันเลย เซ็งเป็ดจริงๆ
ถึงจะแอบเซ็งเล็กน้อย เต่ก็อิ่มอกอิ่มใจ เพราะว่ากระทงที่เราซื้อเป็นกระทงที่วัดทำเอง เอาเงินหยอดลงกล่องบริจาคของวัด เเล้วก็หยิบกระทงไปหนึ่งอัน อืม.....ได้บุญ ได้ทำนุบำรุงศาสนา ดีใจจัง
Sunday, November 1, 2009
หนุกหนานกับการประกวดร้องเพลง
ที่ทำงานมีการประกวดร้องเพลง เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะสามคนไปร้องในงาน Annual Dinner ของบริษัท ไอ้รอบเเรกเนี่ย เราไม่ว่าง เลยไม่ได้อยู่ดู เเต่ทุกคนคอนเฟิร์มว่า สนุกโคตรๆ เราก็เลยไปนั่งดูในรอบรองฯ สนุกจริงๆ ไม่ผิดหวัง
รอบแรกมีหนุ่มน้อยคนนึง สมมติว่าชื่อ J เค้าออกมาร้องเพลง แค่คนอีกคน ของปราโมทย์ วิเลปะนะ ก่อนร้องเค้าก็บอกว่า....ขอมอบเพลงนี้ให้ผู้หญิงคนนึง วันรุ่งขึ้นกลายเป็น talk of the company ใครคือสาวคนนั้นกันหนอ ในที่สุดเราก็รู้ (และคนอื่นๆก็รู้กันทั้งบริษัท) ก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าจีบกัน หรือ เค้ากะลังจะเป็นแฟนกัน หรือผู้ชายเเค่แอบชอบเฉยๆ แต่เอาเป็นว่าเจ๋งจิงไอ้น้อง
พอรอบรอง น้อง J ก็เปลี่ยนเพลงค่ะ ก่อนร้องก็ยังคงเหมือนเดิม...เพลงนี้ผมของมอบให้ผู้หญิงคนเดิมนะครับ แค่คนอีกคน คนที่ไม่สำคัญ โอ้......เลี่ยนอีกเเล้ว แล้วก็ร้องเพลงพี่พลพล คนไม่สำคัญ และวันนี้...สาวคนนั้นมาดูด้วยล่ะ ตากล้องก็พยายามถ่ายน้องเค้าขึ้นจอสุดฤทธิ์ น้องเค้าก็หลบสุดฤทธิ์เช่นกัน
หนุ่มอีกคนนึง หนุ่ม M (รอบแรกไม่ได้ดู) แต่รอบนี้...มาเป็นพี่เคนกันเลยทีเดียว ใส่เเจ๊กเก็ตสีน้ำเงิน แว่นตาดำ (ร้อนจะตายเพราะตอนเย็นแอร์มันปิดเเล้ว เเต่เพื่อความเท่ห์ M ทนได้) และเเน่นอนมาเป็นพี่เคนแบบนี้ก็ต้องร้องเพลง....งโปรดส่งใครมารักฉันที ที่เรียกเสียงกรื๊ดมากคือ ตอนท่อน คอยบอกตัวเองว่าต้องมีซักวัน ที่เจอคนที่เค้าจริงใจ....ก็มานั่งยองๆ จ้องหน้า ร้องให้เพื่อนผู้หญิงคนนึงที่นั่งอยู่หน้าเวที โอ๊ย.....เรียกเสียงกรี๊ดได้มากเลย เเล้วก็ดึงมือสาวคนนั้นขึ้นเวทีไปด้วย เเต่ไอ้เจ้าสาวคนนี้ (เพื่อนเราเอง) มันไม่ยอมลุกเนี่ยซิ เป็นเราหน่อยไม่ได้ โดดขึ้นเวทีไปด้วยละ
หนุกหนานฮาเฮมากๆ พูดเลเ้วก็อยากดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอมากๆเลย ยังไม่ได้ดูเลยอ่ะ อยากดูเเต่ไม่กล้าไปดู เพราะรู้สึกว่า ชีวิตเรามันเเย่ๆเซ็งๆ ถ้าไปดูเเล้วอาจจะหนักกว่าเดิม (พูดเว่อร์ไปงั้นเเหละ คือไม่อยากไปนั่งร้องไห้ฟูมฟายว่าเหมือนชีวิตกูเลย อะไรเเบบนี้)
รอบแรกมีหนุ่มน้อยคนนึง สมมติว่าชื่อ J เค้าออกมาร้องเพลง แค่คนอีกคน ของปราโมทย์ วิเลปะนะ ก่อนร้องเค้าก็บอกว่า....ขอมอบเพลงนี้ให้ผู้หญิงคนนึง วันรุ่งขึ้นกลายเป็น talk of the company ใครคือสาวคนนั้นกันหนอ ในที่สุดเราก็รู้ (และคนอื่นๆก็รู้กันทั้งบริษัท) ก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าจีบกัน หรือ เค้ากะลังจะเป็นแฟนกัน หรือผู้ชายเเค่แอบชอบเฉยๆ แต่เอาเป็นว่าเจ๋งจิงไอ้น้อง
พอรอบรอง น้อง J ก็เปลี่ยนเพลงค่ะ ก่อนร้องก็ยังคงเหมือนเดิม...เพลงนี้ผมของมอบให้ผู้หญิงคนเดิมนะครับ แค่คนอีกคน คนที่ไม่สำคัญ โอ้......เลี่ยนอีกเเล้ว แล้วก็ร้องเพลงพี่พลพล คนไม่สำคัญ และวันนี้...สาวคนนั้นมาดูด้วยล่ะ ตากล้องก็พยายามถ่ายน้องเค้าขึ้นจอสุดฤทธิ์ น้องเค้าก็หลบสุดฤทธิ์เช่นกัน
หนุ่มอีกคนนึง หนุ่ม M (รอบแรกไม่ได้ดู) แต่รอบนี้...มาเป็นพี่เคนกันเลยทีเดียว ใส่เเจ๊กเก็ตสีน้ำเงิน แว่นตาดำ (ร้อนจะตายเพราะตอนเย็นแอร์มันปิดเเล้ว เเต่เพื่อความเท่ห์ M ทนได้) และเเน่นอนมาเป็นพี่เคนแบบนี้ก็ต้องร้องเพลง....งโปรดส่งใครมารักฉันที ที่เรียกเสียงกรื๊ดมากคือ ตอนท่อน คอยบอกตัวเองว่าต้องมีซักวัน ที่เจอคนที่เค้าจริงใจ....ก็มานั่งยองๆ จ้องหน้า ร้องให้เพื่อนผู้หญิงคนนึงที่นั่งอยู่หน้าเวที โอ๊ย.....เรียกเสียงกรี๊ดได้มากเลย เเล้วก็ดึงมือสาวคนนั้นขึ้นเวทีไปด้วย เเต่ไอ้เจ้าสาวคนนี้ (เพื่อนเราเอง) มันไม่ยอมลุกเนี่ยซิ เป็นเราหน่อยไม่ได้ โดดขึ้นเวทีไปด้วยละ
หนุกหนานฮาเฮมากๆ พูดเลเ้วก็อยากดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอมากๆเลย ยังไม่ได้ดูเลยอ่ะ อยากดูเเต่ไม่กล้าไปดู เพราะรู้สึกว่า ชีวิตเรามันเเย่ๆเซ็งๆ ถ้าไปดูเเล้วอาจจะหนักกว่าเดิม (พูดเว่อร์ไปงั้นเเหละ คือไม่อยากไปนั่งร้องไห้ฟูมฟายว่าเหมือนชีวิตกูเลย อะไรเเบบนี้)
Saturday, October 24, 2009
ภาษาอังกฤษวันละคำสองคำ ภาค 2
วันพฤหัสที่ผ่านมา คุณลุงเสีย คุณลุงคนนี้เป็นสามีของคุณป้าที่เรารักมากกกกกกๆๆๆๆๆๆ ก่อนหน้านี้แกเป็นถุงลมโป่งพอง ไปไหนต้องพกถังออกซิเจนไปด้วยเพราะเหนื่อยง่าย ล่าสุดแกช๊อคไปต้องส่งโรงพยาบาล นอน ICU หลายคืน ตอนแรกนอนที่นนทเวช เพราะใกล้บ้าน แต่เพราะว่าโรงพยาบาลเอกชนมันแพง ก็เลยย้ายไปโรงพยาบาลรามา แต่แกไม่ชอบ จะกลับบ้านท่าเดียว สุดท้ายก็ต้องพาแกกลับบ้าน ถึงบ้านไม่นาน แกช๊อคอีก ก็ต้องพาเข้าICU ที่โรงพยาบาลนนทเวชอีกครั้ง แต่คราวนี้แกไม่รู้สึกตัวเลย x-ray ปอดดู ปอดหายไปครึ่งนึงแล้ว (ปอดติดเชื้อค่ะ ลูกพี่ลูกน้องเราที่รามาบอกว่าแกติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งค่อนข้างร้ายแรงกว่าติดเชื้อไวรัส) เราก็...ย้ายแกไปรามาอีก (เพราะแกไม่รู้สึกตัว คงไม่โวยวาย) สุดท้ายแกก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลรามา
อ่ะ กลับมาเข้าเรื่องของเรา วันพฤหัสที่แกเสีย เราก็จะลาพักร้อนไปรดน้ำศพ เนื่องจากเป็นการลากะทันหัน (ปกติต้องลาล่วงหน้าสองอาทิตย์) ดังนั้นก็เลยต้องใส่เหตุผลของการลาลงไปด้วย เอาล่ะซิ.... รดน้ำศพภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าไงหว่า...... เปิด dictionary ดู ได้คำว่า perform funeral bathing ceremony อืม....ผิดถูกไม่รู้เเล้ว เค้าว่างี้เราก็ว่าตามเค้า วันนี้ก็เลยได้ศัพท์ใหม่มาอีกหนึ่งคำ สบายใจ 555
อ่ะ กลับมาเข้าเรื่องของเรา วันพฤหัสที่แกเสีย เราก็จะลาพักร้อนไปรดน้ำศพ เนื่องจากเป็นการลากะทันหัน (ปกติต้องลาล่วงหน้าสองอาทิตย์) ดังนั้นก็เลยต้องใส่เหตุผลของการลาลงไปด้วย เอาล่ะซิ.... รดน้ำศพภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าไงหว่า...... เปิด dictionary ดู ได้คำว่า perform funeral bathing ceremony อืม....ผิดถูกไม่รู้เเล้ว เค้าว่างี้เราก็ว่าตามเค้า วันนี้ก็เลยได้ศัพท์ใหม่มาอีกหนึ่งคำ สบายใจ 555
Tuesday, October 20, 2009
ซื้อคอนแทคเลนส์มาใส่อีกแล้ว
หลังจากทำเลสิกมาแล้วก็จะเกิดอาการอยากใส่คอนแทคเลนส์สีขึ้นมาเป็นพักๆ ใส่ทีไรก็สีเทาเนี่ยเเหละ ชอบ ไม่เคยนอกใจไปใส่สีอื่นซะที
เนื่องจากว่ามันมักจะมีการเอารูปคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ไปใช้โฆษณาขายคอนแทคเลนส์กันโดยไม่ขออนุญาต ก็เลย....ทำลายน้ำไว้กลางรูป (เผื่อๆไว้) แต่คิดว่าคงไม่มีใครเอารูปเราไปหรอก เพราะว่าตาเราไม่สวยอ่ะ หน้าก็ไม่แบ๊วแบบที่เค้าโฆษณากัน
ใส่เปรียบเทียบหนึ่งข้าง เราว่ามันก็ดูไม่โตเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะเราไม่ชอบตาโตมากๆ
ถ่ายแบบปกติ (มั้ง)
ถ่ายโดยหันหน้าสู้แสงไฟ
แบบเปิดแฟลช
เราว่ามันก็โอเคดีนะ สีเทามักดูไม่หลอกตา แล้วก็ดูเก๋ด้วย
เนื่องจากว่ามันมักจะมีการเอารูปคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ไปใช้โฆษณาขายคอนแทคเลนส์กันโดยไม่ขออนุญาต ก็เลย....ทำลายน้ำไว้กลางรูป (เผื่อๆไว้) แต่คิดว่าคงไม่มีใครเอารูปเราไปหรอก เพราะว่าตาเราไม่สวยอ่ะ หน้าก็ไม่แบ๊วแบบที่เค้าโฆษณากัน
ใส่เปรียบเทียบหนึ่งข้าง เราว่ามันก็ดูไม่โตเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะเราไม่ชอบตาโตมากๆ
ถ่ายแบบปกติ (มั้ง)
ถ่ายโดยหันหน้าสู้แสงไฟ
แบบเปิดแฟลช
เราว่ามันก็โอเคดีนะ สีเทามักดูไม่หลอกตา แล้วก็ดูเก๋ด้วย
Monday, October 19, 2009
ปู่ย่าตายายและตระกูลของเรา ตอนที่ 1
ลองเซิร์ชนามสกุลตัวเองในกูเกิ้ล แล้วไม่เห็นว่าจะมีประวัติเลยอ่ะ (ตระกูลทางพ่อนะ) ส่วนตระกูลทางแม่ โดยเฉพาะตระกูลของยายนี่ มีหลากหลาย แต่เป็นข่าวเล่าข่าวลือทั้งนั้น เราจำได้ว่าบ้านเรามีหนังสือรวบรวมตระกูลทางยายอยู่นะ ไว้หามาลงๆเก็บไว้ดีกว่า
วันนี้ก็เอาเรื่องราวของคุณตามาลงก่อน มันป็นความภาคภูมิใจนะ ขอบอก คุณตาเราเป็นคนริเริ่มงานแสดงช้างที่จังหวัดสุรินทร์นะ
แต่ให้ตายเหอะ เวลาดูทีวี หรือหนังสือเดี๋ยวนี้ พิมพ์นามสกุลคุณตาผิดประจำเลย เฮ้อ.....
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503 นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม ได้จัดงานแสดงช้างขึ้นที่บริเวณสนามบินเก่า อำเภอท่าตูม (ที่ตั้งโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน) เพื่อเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ในงานมีการแสดงขบวนแห่ช้าง การแข่งขันช้างวิ่งเร็ว การคล้องช้าง ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก มีการแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ทั้งทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ทำให้ชาวไทรและชาวชาวต่างประเทศเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก ในปีต่อมา อสท. (ททท.) จึงได้เข้ามาให้การสนับสนุน โดยร่วมกำหนดรูปแบบของการแสดง และนำนักท่องเทียวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาชมการแสดง
ในปีพ.ศ.๒๕๐๕ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้การจัดงานช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และให้ส่วนราชการต่างๆ สนับสนุน นายคำรณ สังขกร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น พิจารณาเห็นว่า การจัดงานที่อำเภอท่าตูม ไม่สะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจึงได้ย้ายสถานที่จัดงานมาจัดงานที่ สนามกีฬาจังหวัดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ ๔๘
ที่มา : http://www.riverkingcruise.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538663439&Ntype=11
อันนี้เอามาจาก.....คนใกล้ตัวเขียน
นายวินัย สุวรรณกาศ ดำรงตำแหน่ง นายอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างปี 2498 - 2511 ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว โดยการจัดงานช้างครั้งแรกในปี 2503 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอท่าตูมใหม่ เนื่องจากที่ว่าการอำเภอหลังเดิมถูกไฟไหม้ในปี 2500 ในขณะที่ท่านป่วยและไปรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยโรคปอด เป็นเวลานานถึง 6 เดือน เมื่อรักษาตัวหายแล้วจึงได้สร้างที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ และจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชขึ้น นายอำเภอวินัย สุวรรณกาศเป็นที่รักของชาวบ้านมาก จะเรียกท่านว่า "คุณพ่อ" และพร้อมใจกันรับขวัญที่ท่านนายอำเภอหายป่วยในครั้งนั้น การจัดงานช้างที่ท่าตูมได้จัดขึ้นทุกปี ประมาณ 2-3 ปี โดยท่านนายอำเภอได้ประสานงานกับ อสท.ในสมัยคุณเฉลิมชัย จารุวัสร์เป็น ผอ.(ปัจจุบัน คือ ททท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) แต่ตอนหลังการเดินทางไม่สะดวก เนื่องจากถนนจากสุรินทร์-ท่าตูม เป็นถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 51 กม. จึงย้ายมาจัดในตัวจังหวัดจนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ก็เอาเรื่องราวของคุณตามาลงก่อน มันป็นความภาคภูมิใจนะ ขอบอก คุณตาเราเป็นคนริเริ่มงานแสดงช้างที่จังหวัดสุรินทร์นะ
แต่ให้ตายเหอะ เวลาดูทีวี หรือหนังสือเดี๋ยวนี้ พิมพ์นามสกุลคุณตาผิดประจำเลย เฮ้อ.....
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503 นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม ได้จัดงานแสดงช้างขึ้นที่บริเวณสนามบินเก่า อำเภอท่าตูม (ที่ตั้งโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน) เพื่อเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ในงานมีการแสดงขบวนแห่ช้าง การแข่งขันช้างวิ่งเร็ว การคล้องช้าง ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก มีการแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ทั้งทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ทำให้ชาวไทรและชาวชาวต่างประเทศเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก ในปีต่อมา อสท. (ททท.) จึงได้เข้ามาให้การสนับสนุน โดยร่วมกำหนดรูปแบบของการแสดง และนำนักท่องเทียวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาชมการแสดง
ในปีพ.ศ.๒๕๐๕ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้การจัดงานช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และให้ส่วนราชการต่างๆ สนับสนุน นายคำรณ สังขกร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น พิจารณาเห็นว่า การจัดงานที่อำเภอท่าตูม ไม่สะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจึงได้ย้ายสถานที่จัดงานมาจัดงานที่ สนามกีฬาจังหวัดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ ๔๘
ที่มา : http://www.riverkingcruise.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538663439&Ntype=11
อันนี้เอามาจาก.....คนใกล้ตัวเขียน
นายวินัย สุวรรณกาศ ดำรงตำแหน่ง นายอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างปี 2498 - 2511 ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว โดยการจัดงานช้างครั้งแรกในปี 2503 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอท่าตูมใหม่ เนื่องจากที่ว่าการอำเภอหลังเดิมถูกไฟไหม้ในปี 2500 ในขณะที่ท่านป่วยและไปรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยโรคปอด เป็นเวลานานถึง 6 เดือน เมื่อรักษาตัวหายแล้วจึงได้สร้างที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ และจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชขึ้น นายอำเภอวินัย สุวรรณกาศเป็นที่รักของชาวบ้านมาก จะเรียกท่านว่า "คุณพ่อ" และพร้อมใจกันรับขวัญที่ท่านนายอำเภอหายป่วยในครั้งนั้น การจัดงานช้างที่ท่าตูมได้จัดขึ้นทุกปี ประมาณ 2-3 ปี โดยท่านนายอำเภอได้ประสานงานกับ อสท.ในสมัยคุณเฉลิมชัย จารุวัสร์เป็น ผอ.(ปัจจุบัน คือ ททท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) แต่ตอนหลังการเดินทางไม่สะดวก เนื่องจากถนนจากสุรินทร์-ท่าตูม เป็นถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 51 กม. จึงย้ายมาจัดในตัวจังหวัดจนกระทั่งปัจจุบัน
Sunday, October 11, 2009
Monday, October 5, 2009
ก็เป็นคนขี้รำคาญ
หลายคนชอบถามว่าเราอยู่อย่างงี้เรามีความสุขเหรอ ไม่ได้คุยโทรศัพท์กับแฟนทุกวัน ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เป็นเค้า เค้าทำไม่ได้แน่ๆ
เฮ้อ...อยากบอกว่าเรามีความสุข แฮปปี้ดีนะ เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงน่ะ แล้วก็ขี้รำคาญมากๆด้วย คือ....คนมาจีบก็มีนะ เช้าถึงเย็นถึงก็มี แต่ซักพัก....เราก็รำคาญอ่ะ (พอดีวันนี้มีเหตุน่ารำคาญก็เลยขอบ่นซะหน่อย)
เคสที่หนึ่ง สมัยเรียนโท คนที่เรียนด้วยกัน ตอนแรกก็ไม่มีอะไร ทำแลปด้วยกัน ก็มีคุยกัน กลับบ้านด้วยกันบ้าง หลังๆ ตอนเช้ามามหาลัย มารอเราซะงั้น จะไปไหนก็เดินตาม มาเจอเราก่อนเข้าเรียนทุกเช้า ได้ซักอาทิตย์นึงมั้ง เราก็...ไม่ไหวเเล้ว รำคาญ ไม่ชอบอ่ะ (ทั้งๆที่ตอนแรกก็แอบปิ๊งเค้านะ แต่พอเค้ามาจีบจริงๆกลับรำคาญซะงั้น)
เคสที่สอง เป็นพี่ที่รู้จักกัน เค้าก็รู้ว่าเรามีแฟน แต่ก็ยังแวะเวียนมาคุยด้วย ตอนหลัง....มีพักนึงเราเซ็งๆ ชีวิต ก็เลยไม่อยากรับโทรศัพท์ใคร เค้าโทรมาเราก็ไม่รับ เค้าก็เลยเมสเสจมาว่า พี่อยู่ตรงนี้นะ (ประโยคใจความประมาณนี้อ่ะ จำประโยคจริงๆไม่ได้) แบบว่า..รำคาญอ่ะ เรามีแฟนเเล้วนะ มาบอกพี่อยู่ตรงนี้อะไรล่ะ ไร้สาระ แถมบอกว่าไม่อยากคุยกะใครก็ยังมาตอแย โทรมาไม่รับ ก็ส่งข้อความมาทางเอ็มแทน น่ารำคาญที่สุด เลยเลิกคุยด้วยไปแล้ว
เคสที่สาม เป็นรุ่นน้อง (มีครบเลยวุ้ย รุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง) น่ารำคาญมากเลย โทรมาบ่อยๆ เรื่องก็ไม่ได้มีอะไรจะคุยกันนักหนา เจอกันในเอ็มก็บ่อยๆ จะโทรมาทำไมกันนักกันหนา แถมไม่ค่อยรู้กาละเทศะ โทรมาตอนแปดโมงเช้ามั่ง ตอนบ่ายมั่ง(คนเค้าทำงานนะ) พอบอกว่าทำงานก็ยังจะคุยอีก จนต้องบอกว่า พี่ขอตัวไปทำงานนะ ล่าสุด โทรมาเราเจ็บคอ หมอห้ามใช้เสียง ก็ยังมาชวนเราคุยอยู่ได้ รำคาญนะ คนแบบนี้
เคสที่สี่ เพื่อนกัน (มั้ง) คุยกันทางเอ็มบ่อยๆ (เพื่อนทางเน็ตน่ะแหละ) ชอบถามอยู่ได้ วันนี้ไปไหนมา พรุ่งนี้จะไปไหน พอบอกว่า ไปเที่ยวก็เพื่อน ก็มาไล่ถามเรา ไปไหน เพื่อนชื่ออะไร รู้จักเพื่อนเราเหรอ ก็ปล่าว จะมาถามรายละเอียดทำไม น่ารำคาญ (อีกแล้ว)
ก็เป็นอย่างงี้แหละ ถึงมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะเค้าไม่น่ารำคาญนี่
เฮ้อ...อยากบอกว่าเรามีความสุข แฮปปี้ดีนะ เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงน่ะ แล้วก็ขี้รำคาญมากๆด้วย คือ....คนมาจีบก็มีนะ เช้าถึงเย็นถึงก็มี แต่ซักพัก....เราก็รำคาญอ่ะ (พอดีวันนี้มีเหตุน่ารำคาญก็เลยขอบ่นซะหน่อย)
เคสที่หนึ่ง สมัยเรียนโท คนที่เรียนด้วยกัน ตอนแรกก็ไม่มีอะไร ทำแลปด้วยกัน ก็มีคุยกัน กลับบ้านด้วยกันบ้าง หลังๆ ตอนเช้ามามหาลัย มารอเราซะงั้น จะไปไหนก็เดินตาม มาเจอเราก่อนเข้าเรียนทุกเช้า ได้ซักอาทิตย์นึงมั้ง เราก็...ไม่ไหวเเล้ว รำคาญ ไม่ชอบอ่ะ (ทั้งๆที่ตอนแรกก็แอบปิ๊งเค้านะ แต่พอเค้ามาจีบจริงๆกลับรำคาญซะงั้น)
เคสที่สอง เป็นพี่ที่รู้จักกัน เค้าก็รู้ว่าเรามีแฟน แต่ก็ยังแวะเวียนมาคุยด้วย ตอนหลัง....มีพักนึงเราเซ็งๆ ชีวิต ก็เลยไม่อยากรับโทรศัพท์ใคร เค้าโทรมาเราก็ไม่รับ เค้าก็เลยเมสเสจมาว่า พี่อยู่ตรงนี้นะ (ประโยคใจความประมาณนี้อ่ะ จำประโยคจริงๆไม่ได้) แบบว่า..รำคาญอ่ะ เรามีแฟนเเล้วนะ มาบอกพี่อยู่ตรงนี้อะไรล่ะ ไร้สาระ แถมบอกว่าไม่อยากคุยกะใครก็ยังมาตอแย โทรมาไม่รับ ก็ส่งข้อความมาทางเอ็มแทน น่ารำคาญที่สุด เลยเลิกคุยด้วยไปแล้ว
เคสที่สาม เป็นรุ่นน้อง (มีครบเลยวุ้ย รุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง) น่ารำคาญมากเลย โทรมาบ่อยๆ เรื่องก็ไม่ได้มีอะไรจะคุยกันนักหนา เจอกันในเอ็มก็บ่อยๆ จะโทรมาทำไมกันนักกันหนา แถมไม่ค่อยรู้กาละเทศะ โทรมาตอนแปดโมงเช้ามั่ง ตอนบ่ายมั่ง(คนเค้าทำงานนะ) พอบอกว่าทำงานก็ยังจะคุยอีก จนต้องบอกว่า พี่ขอตัวไปทำงานนะ ล่าสุด โทรมาเราเจ็บคอ หมอห้ามใช้เสียง ก็ยังมาชวนเราคุยอยู่ได้ รำคาญนะ คนแบบนี้
เคสที่สี่ เพื่อนกัน (มั้ง) คุยกันทางเอ็มบ่อยๆ (เพื่อนทางเน็ตน่ะแหละ) ชอบถามอยู่ได้ วันนี้ไปไหนมา พรุ่งนี้จะไปไหน พอบอกว่า ไปเที่ยวก็เพื่อน ก็มาไล่ถามเรา ไปไหน เพื่อนชื่ออะไร รู้จักเพื่อนเราเหรอ ก็ปล่าว จะมาถามรายละเอียดทำไม น่ารำคาญ (อีกแล้ว)
ก็เป็นอย่างงี้แหละ ถึงมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะเค้าไม่น่ารำคาญนี่
Sunday, October 4, 2009
อ้วนมาก ไม่ไหวแล้ว !!!!
ตามหัวข้อเลย ทนตัวเองไม่ไหวเเล้ว เข้าสู่โหมดลดน้ำหนักโลดดดดดด (รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ไม่อยากนับแล้ว)
Thursday, September 17, 2009
ภาษาอังกฤษวันละคำสองคำ
การทำงานบริษัทฝรั่ง ทำให้เรารู้ศัพท์ใหม่ๆแปลกๆเข้ามาในชีวิตเยอะเหมือนกันนะ วันนี้ขอเล่าซักสองคำก็แล้วกัน
(สคริปข้างล่างนี่จริงๆ พูดเป็นภาษาอังกฤษหมดนะ)
v
v
v
เราเคยจัดอบรมที่โรงแรม ซึ่งก่อนจะเริ่มอบรมนั้น ต้องอธิบาย แผนฉุกเฉิน เพื่อที่ว่าเกิดมีเหตุไฟไหม้ แผ่นดินไหว ทุกคนจะได้รู้ว่าทางหนีไฟอยู่ไหน และเราจะไปรวมพลกันที่ไหน จุดรวมพลของที่นี่.......รวมกันหน้า "Spirit House"
555 งงล่ะซื ว่ามันคืออะไรฟะ ? มันคือ มันคือ ......"ศาลพระภูมิ"
วันก่อนประชุม พี่คนนึงบอกว่า กลางเดือนหน้าเรามี "Ground Breaking Ceremony" ของ site ที่กำลังจะสร้างนะ
ทุกคนในที่ประชุม งง ? มันคืออะไรฟะ ?
มันคือ มันคือ ........ "พิธีลงเสาเอก" คนไทยทุกคน หัวเราะ อ๋อ..เค้าเรียกอย่างงี้เหรอ เพิ่งรู้ แต่ฝรั่ง.....ยังคงงงอยู่ว่ามันคืออะไรฟะ ? ต้องมาอธิบายให้ฟังว่ามันคือพิธีอะไร
ไว้นึกศัพท์แปลกๆได้ จะมาเล่าให้ฟังอีกนะจ้ะ
(สคริปข้างล่างนี่จริงๆ พูดเป็นภาษาอังกฤษหมดนะ)
v
v
v
เราเคยจัดอบรมที่โรงแรม ซึ่งก่อนจะเริ่มอบรมนั้น ต้องอธิบาย แผนฉุกเฉิน เพื่อที่ว่าเกิดมีเหตุไฟไหม้ แผ่นดินไหว ทุกคนจะได้รู้ว่าทางหนีไฟอยู่ไหน และเราจะไปรวมพลกันที่ไหน จุดรวมพลของที่นี่.......รวมกันหน้า "Spirit House"
555 งงล่ะซื ว่ามันคืออะไรฟะ ? มันคือ มันคือ ......"ศาลพระภูมิ"
วันก่อนประชุม พี่คนนึงบอกว่า กลางเดือนหน้าเรามี "Ground Breaking Ceremony" ของ site ที่กำลังจะสร้างนะ
ทุกคนในที่ประชุม งง ? มันคืออะไรฟะ ?
มันคือ มันคือ ........ "พิธีลงเสาเอก" คนไทยทุกคน หัวเราะ อ๋อ..เค้าเรียกอย่างงี้เหรอ เพิ่งรู้ แต่ฝรั่ง.....ยังคงงงอยู่ว่ามันคืออะไรฟะ ? ต้องมาอธิบายให้ฟังว่ามันคือพิธีอะไร
ไว้นึกศัพท์แปลกๆได้ จะมาเล่าให้ฟังอีกนะจ้ะ
Sunday, September 13, 2009
ปั๊มเงินเพื่อลูก
เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการเสียเงินจริงๆ กาโม่ลูกรัก อยู่ด้วยกันมา 5 ปีแล้ว เดินทางด้วยกันมา 100,000 กิโล โห...เยอะนะเนี่ย
100,000 กิโล ก็ถึงเวลา.......
"เปลี่ยนยาง" อีชั้นหมดไป เก้าพันกว่าบาท
"เซ็คระยะ 100,000 kilo" หมดไปประมาณ สามพัน เพราะไฟเบรคขาด กระจกไฟฟ้าไม่ทำงาน ไหนๆก็ไหนๆแล้วเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน กับ ล้างห้องเครื่อง ไปด้วย
เช็คระยะแล้วดันเจอว่า "บูทยางปีกนกฉีก" ซัดไปอีก ห้าพัน
แถมเดือนนี้ถึงเวลา "ต่อทะเบียน" ประมาณ พันหก ตอนต่อทะเบียนก็ต้อง "ทำพรบ. " อีก เจ็ดร้อยกว่าบาท
เดือนเดียวซัดไปเกือบสองหมื่น T_T ช่วงนี้อย่ามาโดนตัวเรานะ เดี๋ยวแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะ "กรอบ" มากกกกกก
ป.ล. วันนี้ได้รับจดหมายจากฮอนด้า ขอบคุณที่ไว้วางใจและใช้รถมาถึง 100,000 กิโล (อะไรจะขนาดนั้น ต้อมีจดหมายขอบคุณด้วยเรอะ หรือตูใช้รถอึดเกินไปฟะ)
100,000 กิโล ก็ถึงเวลา.......
"เปลี่ยนยาง" อีชั้นหมดไป เก้าพันกว่าบาท
"เซ็คระยะ 100,000 kilo" หมดไปประมาณ สามพัน เพราะไฟเบรคขาด กระจกไฟฟ้าไม่ทำงาน ไหนๆก็ไหนๆแล้วเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน กับ ล้างห้องเครื่อง ไปด้วย
เช็คระยะแล้วดันเจอว่า "บูทยางปีกนกฉีก" ซัดไปอีก ห้าพัน
แถมเดือนนี้ถึงเวลา "ต่อทะเบียน" ประมาณ พันหก ตอนต่อทะเบียนก็ต้อง "ทำพรบ. " อีก เจ็ดร้อยกว่าบาท
เดือนเดียวซัดไปเกือบสองหมื่น T_T ช่วงนี้อย่ามาโดนตัวเรานะ เดี๋ยวแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะ "กรอบ" มากกกกกก
ป.ล. วันนี้ได้รับจดหมายจากฮอนด้า ขอบคุณที่ไว้วางใจและใช้รถมาถึง 100,000 กิโล (อะไรจะขนาดนั้น ต้อมีจดหมายขอบคุณด้วยเรอะ หรือตูใช้รถอึดเกินไปฟะ)
Saturday, September 12, 2009
กลับมาเป็นตัวเอง
หลังจากรับไม่ได้กับสภาพหัวทอง ตอนนี้ก็เลยไปทำสีดำ (จริงๆน้ำตาลเข้ม เเต่ออกมาเหมือนสีดำ) ที่เห็นหัวตรงเยี่ยงนี้ไม่ได้ยืดแต่อย่างใด แค่ให้ร้านไดร์ตรงเฉยๆ ยังยืดไม่ได้ เดี๋ยวผมเสียหนักกว่าเดิม
ไดร์มาใหม่ๆ หัวเรียบเช้งกะเด๊ะ
เช้าวันต่อมา เริ่มหยิกซะแล้ว -_-*
พอผมหยิกสีดำแบบนี้ดูเป็นเทรนด์ (คิดเอาเองว่า) เกาหลียังไงไม่รู้ แต่ก็โอเคอ่ะ มีแต่คนบอกว่าดีกว่าผมทอง (เราก็ว่าดีกว่าเดิม เพราะรับหัวทองของตัวเองไม่ได้เหมืือนกัน)
ไดร์มาใหม่ๆ หัวเรียบเช้งกะเด๊ะ
เช้าวันต่อมา เริ่มหยิกซะแล้ว -_-*
พอผมหยิกสีดำแบบนี้ดูเป็นเทรนด์ (คิดเอาเองว่า) เกาหลียังไงไม่รู้ แต่ก็โอเคอ่ะ มีแต่คนบอกว่าดีกว่าผมทอง (เราก็ว่าดีกว่าเดิม เพราะรับหัวทองของตัวเองไม่ได้เหมืือนกัน)
Tuesday, August 25, 2009
HBD to my brother
เมื่อวานเป็นวันเกิดพี่เเบงก์ ขอให้พี่เเบงก์ มีงาน มีเงิน และมีความสุขมากๆนะคะ
พี่ชายที่เเสนดีที่สุดของเรา (เเน่นอน เพราะเรามีพี่ชายคนเดียว) ถึงเเม้เราจะทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้าง เเต่เราก็รักกันและจะดูแลกันอย่างงี้ไปตลอด รักพี่เเบงก์มากๆเลยนะ
ขอพ่วงด้วยคุณเเม่อีกคน เพราะเดือนนี้เป็นวันเเม่ เเม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงใครจะมองเราเป็นยังไง ถึงใครจะไม่รัก ไม่สนใจเรา เเต่เเม่คือคนที่คอยดูแลห่วงใย และคอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่ว่าเราจะทุกข์ หรือ สุข บุ๋นรักเเม่ค่ะ ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกเเม่
สำหรับเราครอบครัวคือสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีิวิต
พี่ชายที่เเสนดีที่สุดของเรา (เเน่นอน เพราะเรามีพี่ชายคนเดียว) ถึงเเม้เราจะทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้าง เเต่เราก็รักกันและจะดูแลกันอย่างงี้ไปตลอด รักพี่เเบงก์มากๆเลยนะ
ขอพ่วงด้วยคุณเเม่อีกคน เพราะเดือนนี้เป็นวันเเม่ เเม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงใครจะมองเราเป็นยังไง ถึงใครจะไม่รัก ไม่สนใจเรา เเต่เเม่คือคนที่คอยดูแลห่วงใย และคอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่ว่าเราจะทุกข์ หรือ สุข บุ๋นรักเเม่ค่ะ ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกเเม่
สำหรับเราครอบครัวคือสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีิวิต
Sunday, August 23, 2009
That's my cap !!!
เมื่อเดือนพฤษภา เราทำหมวกอาราเล่หาย (คล้องไว้กับกระเป๋าถือเเล้วหล่นไปตอนไหนไม่รู้) โคตรเสียดายเลยอ่ะ มันน่ารักมากกกกกก ใส่ไปเดินพารากอน มีฝรั่งเดินมาถามด้วยว่า ยูซื้อมาจากไหน ฮือออออ จริงๆมันหาซื้อไม่ยากนะ ร้านใต้ตึกเราเอง เเต่จะซื้อหมวกหน้าตาเหมือนเดิมก็กะไร รู้สึกเสียศักดิ์ศรีว่ะ (เเต่ทำไม ทีน้องเห็ดคิโนโกะ ซื้อได้ฟะ ไม่เข้าใจตัวเองแฮะ)
หมวกน่าร๊ากกกกกก
วันนี้เล่นเน็ต.... เรารู้เเล้วว่าใครเอาหมวกเราไป !!!!!
นังนู๋วาเนสซ่า เอาหมวกชั้นคืนมานะ !!!!
หมวกน่าร๊ากกกกกก
วันนี้เล่นเน็ต.... เรารู้เเล้วว่าใครเอาหมวกเราไป !!!!!
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
นังนู๋วาเนสซ่า เอาหมวกชั้นคืนมานะ !!!!
Wednesday, August 19, 2009
Don't judge me by my family name
คนเราเค้ามองกันที่ตรงไหน ? นึกถึงเพลงของน้ำชาขึ้นมาเลย " รักแท้ รักที่อะไร ตับไตไส้พุง หรือ รักกางเกงที่นุ่ง ว่าดูสวยดี รักที่นามสกุล รักยี่ห้อรถยนต์ รักเพราะว่าไม่จน มีสตางก์ให้จ่าย " อืม....คนเราเดี๋ญวนี้อาจจะชอบมองกันที่เปลือกนอก เสื้อผ้าการเเต่งตัว รถที่ใช้ ฐานะการเงิน รวมถึงนามสกุล !!!
เพื่อนๆกันเองน่ะ ไม่มีใครสนใจนามสกุลเราอยู่เเล้ว (หรืออาจมีเเต่เราไม่รู้ 555) ตั้งเเต่สมัยเรียนก็มีเเต่ผู้ใหญ่เท่านั้นเเหละ ที่ถามเราว่า เราเป็นอะไรกับหมอ ว. เป็นอะไรกับอาจารย์ จ. บลา บลา บลา รู้เเหละว่านามสกุลเราน่ะ มันเป็นนามสกุลเก่า ก็เลยมีคนดังบ้าง คนรวยบ้าง เเต่เราไม่รู้จักเค้านะ เพราะตระกูลค่อนข้างใหญ่ ญาติทางพ่อที่เรารู้จักก็ธรรมดาทั่วๆไปนี่เเหละ
มีคนมาเล่าให้เราฟังว่า มีคนถามว่า "อย่างบุ๋นทำไมจะต้องมาทำงานอีก นามสกุลออกจะดัง" ฟังเเล้วอึ้งเลยนะ ใจก็คิดว่า จะบ้าเหรอ พ่อเเม่ชั้นไม่ได้รวยนะ หรือถ้าเกิดรวยจริงๆ จะให้งอมืองอเท้า เเบมือขอเงินพ่อเเม่เนี่ยนะ คิดได้ไง ตัดสินคนจากนามสกุลเเค่นี้เหรอ
เพื่อนๆกันเองน่ะ ไม่มีใครสนใจนามสกุลเราอยู่เเล้ว (หรืออาจมีเเต่เราไม่รู้ 555) ตั้งเเต่สมัยเรียนก็มีเเต่ผู้ใหญ่เท่านั้นเเหละ ที่ถามเราว่า เราเป็นอะไรกับหมอ ว. เป็นอะไรกับอาจารย์ จ. บลา บลา บลา รู้เเหละว่านามสกุลเราน่ะ มันเป็นนามสกุลเก่า ก็เลยมีคนดังบ้าง คนรวยบ้าง เเต่เราไม่รู้จักเค้านะ เพราะตระกูลค่อนข้างใหญ่ ญาติทางพ่อที่เรารู้จักก็ธรรมดาทั่วๆไปนี่เเหละ
มีคนมาเล่าให้เราฟังว่า มีคนถามว่า "อย่างบุ๋นทำไมจะต้องมาทำงานอีก นามสกุลออกจะดัง" ฟังเเล้วอึ้งเลยนะ ใจก็คิดว่า จะบ้าเหรอ พ่อเเม่ชั้นไม่ได้รวยนะ หรือถ้าเกิดรวยจริงๆ จะให้งอมืองอเท้า เเบมือขอเงินพ่อเเม่เนี่ยนะ คิดได้ไง ตัดสินคนจากนามสกุลเเค่นี้เหรอ
Sunday, August 16, 2009
อยากได้กระเป๋าใบนี้อ่ะ ทำไงดี T_T
อยากได้กระเป๋าใบนึง ถูกใจอย่างแรง Chanel classic flat bag 10 นิ้ว สีแดง ใจจริงไม่นิยมของก๊อปนะ ถ้าไม่ซื้อของจริงก็ซื้อของไม่มียี่ห้อไปเลย เเต่ใบนี้ราคามันเเรงมากกกกกกก ไม่สามารถ (จริงๆเเค่ใบละหมื่นก็ไม่ซื้อเเล้ว นี่ใบละ 80000 กว่าบาท (มั้ง คิดเรทเเบบคร่าวๆ) เเต่มันโดนใจมากเลยนะ
ลองไปหาของก๊อป แบบไม่มียี่ห้อ ที่ทำดีไซน์คล้ายๆ ก็ไม่เจอไซส์เท่าที่เราอยากได้ เจอใบเล็กๆ ไม่ก็ใบใหญ่ไปเลย แถมไม่มีสีแดงอีก เซ็งชะมัด
กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อของก๊อปดีมั้ยเนี่ย ฮือๆ อยากได้อ่ะ ชอบบบบบบบบ
ลองไปหาของก๊อป แบบไม่มียี่ห้อ ที่ทำดีไซน์คล้ายๆ ก็ไม่เจอไซส์เท่าที่เราอยากได้ เจอใบเล็กๆ ไม่ก็ใบใหญ่ไปเลย แถมไม่มีสีแดงอีก เซ็งชะมัด
กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อของก๊อปดีมั้ยเนี่ย ฮือๆ อยากได้อ่ะ ชอบบบบบบบบ
Saturday, August 8, 2009
Endometriosis เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่
เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือ Endometriosis ก็คือ การที่เยื่อบุมดลูกมันไปขึ้นที่อื่น ข้างนอกโพรงมดลูกนั่นเอง
(ย้อนความรู้ชีววิทยาสมัยมัธยมกันนิดนึง....ปกติใน 1 รอบเดือน รังไข่จะผลิตฮอร์โมน estogen ปริมาณมาก เพื่อกระตุ้นให้เยื่อบุมดลูกเจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดมาเลี้ยง เพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์ ถ้าไข่ตก เเละได้รัยการผสม ก็จะเข้าไปฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก เเต่ถ้าไม่ได้รับการผสม ไข่ก็จะสลายไป ระดับฮอร์โมนก็จะลด และ เยื่อบุมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน) จุดที่มันจะไปขึ้นก็มี รังไข่ ท่อนำไข่ ผนังด้านนอกของมดลูก ลำไส้ และอวัยวะอื่นๆในช่องเชิงกราน ทีนี้มันก็มีการหลุดลอกตามวัฏจักรของรอบเดือนน่ะเเหละ เเต่เพราะมันไม่ได้อยู่ในมดลูก มันก็เลยออกมาทางช่องคลอดเเบบประจำเดือนไม่ได้ ทำให้เกิดการอักเสบเเละกลไกของร่างกายสร้างผังผืดมาล้อมมันเอาไว้ พอเป็นอย่างงี้นานๆเข้า ผังผืดก็หน้าขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นถุงน้ำ (cyst) เเละเลือดที่ขังอยู่ข้างในก็จะข้นขึ้นเเละสึคล้ำเหมือนชอกโกแลต เค้าก็เลยเรียกไอ้เจ้าถุงเลือดนี้ว่า Chocolate cyst นั่นเอง
ถ้าเยื่อบุมดลูกแทรกตัวไปในกล้ามเนื้อมดลูก เเล้วมันก็จะสร้างผังผืดซึ่งทำให้ปวดท้องมากเวลามีปะจำเดือน เเละมีบุตรยาก (โรคนี้เรียกว่า Adenomyosis)
อาการทั่วไปในโรคกลุ่มนี้ (เรียกรวมนะ เพราะมันเป็นตระกูลเดียวกันอ่ะ เกิดจากที่เยื่อบุมดลูกมันเจริญผิดที่)
1. ปวดท้องเวลามีประจำเดือน บางรายปวดลามไปถึงหลัง
2. ประจำเดือนผิดปกติ มาน้อย มามาก มาประปิดประปอย ฯลฯ
3. เจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
จริงๆเเล้วโรคนี้ไม่อันตรายถึงชีวิต เเต่มันสร้างความรำคาญ เเละเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต เพราะอาการปวดท้อง เเละ มีลูกยาก
สาเหตุของโรค ....สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับเข้าไป (ซึ่งมันก็มีเซลล์เยื่อบุมดลูกอยู่) เเล้วไปฝังตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆ
ปัจจัยเสี่ยง จริงๆทุกคนมีสิทธิเป็นโรคนี้ เเต่ปัจจัยที่มีผลให้เสี่ยงมากขึ้นก็คือ
1. มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
2. มีประจำเดือนตั้งเเต่อายุน้อย เเละมีรอบสั้น เช่น เดือนละ 2 ครั้ง หรือ มีประจำเดือนมากกว่า 7 วัน
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือน (เพราะจะทำให้ประจำเดือนไหลย้อนกลับ)
2. มีลูกเร็วๆ (เพราะเวลาตังครรภ์ จะไม่มีประจำเดือน ฮอร์โมนที่เปลี่ยนเเปลง ทำให้เยื่อบุมดลูกฝ่อลง)
การรักษา
1. ใช้ยา (ฮอร์โมน) เพื่อไม่ให้มีประจำเดือน ทำให้เยื่อบุมดลูกไม่เจริญขึ้นมา
2. ผ่าตัด
3. ใช้ยาร่วมกับการผ่าตัด
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaiclinic.com/endometriosis.html, http://www.ladinaclub.com/en/women-health/detail.php?KnowledgeID=373, http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=looknava&date=15-06-2007&group=4&gblog=1)
เอาล่ะ ทฤษฎีเเล้ว มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า.....ไอ้ที่พูดมา 3 โรค เราเป็นหมดเลยทั้ง 3 โรค T_T
ทำไมเราถึงไปตรวจ มีความผิดปกติยังไง ?
เราเป็นคนที่ประจำเดือนมาตรงเวลา 28 วัน มาหลายปีเเล้ว เเต่ช่วงหลังมาไม่ค่อยตรง เราก็เลยกินยาสตรี มันก็เลยมาตรงเหมือนเดิม เเต่พอเดือนเมษาปีที่เเล้ว ประจำเดือนมาช้าไปสองอาทิตย์ ทั้งๆที่กินยาสตรีเเล้วนะ นอกจากมาช้าเเล้ว มันยังมา 8 วัน (ปกติเรามา 6 วัน) แถมวันท้ายๆ ยังเป็นเลือดสีแดงสดอีกต่างหาก
เรารอดูอาการอีกหนึ่งเดือน คือเดือนพฤษภา ปรากฎว่าก็ยังเป็นเหมือนเดิมคือมาช้า เเละมานานผิดปกติ ประกอบกับ...ไม่รู้คิดไปเองรึป่าวนะ พุงเราป่องมากๆ ตอนเช้าตื่นมาพุงควรฟีบ เเต่ดันป่อง เเถมแขม่วไม่ลงด้วย เราก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาล V หมอบอกว่าเป็น chocolate cyst ขนาดเกือบๆ 2 เซ็นต์ฯ ที่รังไข่ข้างซ้าย เเต่ของดูอาการเดือนหน้าก่อนว่าเป็นไง ถ้ามันโตขึ้นก็ต้องรักษา พอเดือนมิถุนา เราไปหาหมออีกที ปรากฎว่า ขนาดโตเป็น 3 เซ็นต์ฯเเล้ว หมอบอกว่ามันโตเร็วมาก ต้องผ่าออกอย่างเดียว เพราะกินยาคงเอาไม่อยู่ เราก็เลยย้ายไปหาหมอที่โรงพยาบาล N เพราะเป็นอาจารย์หมอของพี่ชายเรา เพื่อตรวจอีกรอบ ตรวจเเล้วหมอบอกว่าเราเป็นทั้งสามอย่าง เเละเป็นเยอะมาก มีถุงขนาด 3 เซ็นต์ กับ 6 เซ็นต์ อยู่ในรังไข่ข้างซ้าย ฉะนั้นต้องผ่าสถานเดียว เเล้วก็ต้องฉีดฮอร์โมนดูเเลมันอีก 2 ปี
รูปข้างล่างนี้ คือมดลูกเราเอง 555 เราผ่าตัดแบบส่องกล้องน่ะ หมายเลข 1 คือ มดลูก หมายเลข 2 คือรังไข่ข้างซ้าย หมายเลข3 คือรังไข่ข้างขวา สังเกตได้ว่า รังไข่ข้างขวาจะฟีบๆ เเต่ข้างซ้ายนี่ เต่งมากๆ (ก็มีถุงน้ำรวมตั้ง 9 เซ็นต์ อ่ะ )
อีกรูปคือตอนที่เจาะรังไข่เเล้ว เลือดจะคล้ำๆ เหมือนสีชอกโกแลต
ตอนที่ผ่าใช้เวลานานมาก เเถมต้องสวนก้นให้หมดไส้หมดพุง (ทำdetox ดีๆนี่เอง) ทรมานอ่ะ หลังจากผ่า หมอบอกว่า นอกจาก chocolate cyst ในรังไข่เเล้ว เราก็มีผังผืดเกาะที่ลำไส้ เเละท่อนำไข่ (มันกำลังจะลามไปเเล้วววววววว) เเละมี Adenomyosis เล็กน้อย เเต่อันนี้ผ่าไม่ได้ ให้อดทนต่อไป
หลังจากผ่าเเล้ว เราต้องฉีดฮอร์โมน (ถ้าพูดง่ายๆก็คือยาคุมน่ะเเหละ) เพราะเราเป็นค่อนข้างหนัก โรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาดนะ หลายๆปีผ่านไป มันก็จะเกิดอีก เเละจากอายุเรา เจอขนาดใหญ่อย่างงี้ มีเเนวโน้มว่ามันจะกลับมาเป็นภายในไม่กี่ปี เลยต้องควบคุมไว้ ยาที่เราฉีดคือ DMPA (depot medoxy progesterone acetate) ซึ่งคือยาคุมชนิดฉีดนั่นเอง ในการคุมกำเนิดจะฉีด DMPA 150 mg ทุก 3 เดือน เเต่ในการรักษา endometriosis เคสเรา คือ ฉีด 100 mg ทุกเดือน (คิดูละกันว่าปริมาณ ฮอร์โมนจะเยอะขนาดไหน)
กลไกการทำงานของ DMPA
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.clinicrak.com/birthcontrol/lady_dmpa01.shtml )
จริงๆผลข้างเคียงของ DMPA มีมากกว่านี้นะ หมอที่รักษาเราบอกมา มันจะทำให้เราเหมือนคนวัยทอง จะร้อนวูบวาบ อารมณ์หงุดหงิด มวลกระดูกลดลง ทำให้เราต้องกินเเคลเซียมเสริมด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวกระดูกพรุน T-T ก็รักษากันต่อไป.....ตอนนี้เราฉีดมาปีนึงละ เลยลด dose ลง เหลือ 3 เดือน ฉีดครั้ง
หวังว่าคงไม่เป็นอีก ในเร็ววันนี้
รู้สึกเขียน blog นี้ วนไปวนมาไงไม่รู้ คือมีข้อมูลเยอะอ่ะ อยากพูดไปหมดเลย ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มก็ถามมาได้นะ ตอนนี้เชี่ยวชาญเรื่องนี้พอสมควรเลยล่ะ
(ย้อนความรู้ชีววิทยาสมัยมัธยมกันนิดนึง....ปกติใน 1 รอบเดือน รังไข่จะผลิตฮอร์โมน estogen ปริมาณมาก เพื่อกระตุ้นให้เยื่อบุมดลูกเจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดมาเลี้ยง เพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์ ถ้าไข่ตก เเละได้รัยการผสม ก็จะเข้าไปฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก เเต่ถ้าไม่ได้รับการผสม ไข่ก็จะสลายไป ระดับฮอร์โมนก็จะลด และ เยื่อบุมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน) จุดที่มันจะไปขึ้นก็มี รังไข่ ท่อนำไข่ ผนังด้านนอกของมดลูก ลำไส้ และอวัยวะอื่นๆในช่องเชิงกราน ทีนี้มันก็มีการหลุดลอกตามวัฏจักรของรอบเดือนน่ะเเหละ เเต่เพราะมันไม่ได้อยู่ในมดลูก มันก็เลยออกมาทางช่องคลอดเเบบประจำเดือนไม่ได้ ทำให้เกิดการอักเสบเเละกลไกของร่างกายสร้างผังผืดมาล้อมมันเอาไว้ พอเป็นอย่างงี้นานๆเข้า ผังผืดก็หน้าขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นถุงน้ำ (cyst) เเละเลือดที่ขังอยู่ข้างในก็จะข้นขึ้นเเละสึคล้ำเหมือนชอกโกแลต เค้าก็เลยเรียกไอ้เจ้าถุงเลือดนี้ว่า Chocolate cyst นั่นเอง
ถ้าเยื่อบุมดลูกแทรกตัวไปในกล้ามเนื้อมดลูก เเล้วมันก็จะสร้างผังผืดซึ่งทำให้ปวดท้องมากเวลามีปะจำเดือน เเละมีบุตรยาก (โรคนี้เรียกว่า Adenomyosis)
อาการทั่วไปในโรคกลุ่มนี้ (เรียกรวมนะ เพราะมันเป็นตระกูลเดียวกันอ่ะ เกิดจากที่เยื่อบุมดลูกมันเจริญผิดที่)
1. ปวดท้องเวลามีประจำเดือน บางรายปวดลามไปถึงหลัง
2. ประจำเดือนผิดปกติ มาน้อย มามาก มาประปิดประปอย ฯลฯ
3. เจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
จริงๆเเล้วโรคนี้ไม่อันตรายถึงชีวิต เเต่มันสร้างความรำคาญ เเละเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต เพราะอาการปวดท้อง เเละ มีลูกยาก
สาเหตุของโรค ....สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับเข้าไป (ซึ่งมันก็มีเซลล์เยื่อบุมดลูกอยู่) เเล้วไปฝังตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆ
ปัจจัยเสี่ยง จริงๆทุกคนมีสิทธิเป็นโรคนี้ เเต่ปัจจัยที่มีผลให้เสี่ยงมากขึ้นก็คือ
1. มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
2. มีประจำเดือนตั้งเเต่อายุน้อย เเละมีรอบสั้น เช่น เดือนละ 2 ครั้ง หรือ มีประจำเดือนมากกว่า 7 วัน
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือน (เพราะจะทำให้ประจำเดือนไหลย้อนกลับ)
2. มีลูกเร็วๆ (เพราะเวลาตังครรภ์ จะไม่มีประจำเดือน ฮอร์โมนที่เปลี่ยนเเปลง ทำให้เยื่อบุมดลูกฝ่อลง)
การรักษา
1. ใช้ยา (ฮอร์โมน) เพื่อไม่ให้มีประจำเดือน ทำให้เยื่อบุมดลูกไม่เจริญขึ้นมา
2. ผ่าตัด
3. ใช้ยาร่วมกับการผ่าตัด
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaiclinic.com/endometriosis.html, http://www.ladinaclub.com/en/women-health/detail.php?KnowledgeID=373, http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=looknava&date=15-06-2007&group=4&gblog=1)
เอาล่ะ ทฤษฎีเเล้ว มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า.....ไอ้ที่พูดมา 3 โรค เราเป็นหมดเลยทั้ง 3 โรค T_T
ทำไมเราถึงไปตรวจ มีความผิดปกติยังไง ?
เราเป็นคนที่ประจำเดือนมาตรงเวลา 28 วัน มาหลายปีเเล้ว เเต่ช่วงหลังมาไม่ค่อยตรง เราก็เลยกินยาสตรี มันก็เลยมาตรงเหมือนเดิม เเต่พอเดือนเมษาปีที่เเล้ว ประจำเดือนมาช้าไปสองอาทิตย์ ทั้งๆที่กินยาสตรีเเล้วนะ นอกจากมาช้าเเล้ว มันยังมา 8 วัน (ปกติเรามา 6 วัน) แถมวันท้ายๆ ยังเป็นเลือดสีแดงสดอีกต่างหาก
เรารอดูอาการอีกหนึ่งเดือน คือเดือนพฤษภา ปรากฎว่าก็ยังเป็นเหมือนเดิมคือมาช้า เเละมานานผิดปกติ ประกอบกับ...ไม่รู้คิดไปเองรึป่าวนะ พุงเราป่องมากๆ ตอนเช้าตื่นมาพุงควรฟีบ เเต่ดันป่อง เเถมแขม่วไม่ลงด้วย เราก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาล V หมอบอกว่าเป็น chocolate cyst ขนาดเกือบๆ 2 เซ็นต์ฯ ที่รังไข่ข้างซ้าย เเต่ของดูอาการเดือนหน้าก่อนว่าเป็นไง ถ้ามันโตขึ้นก็ต้องรักษา พอเดือนมิถุนา เราไปหาหมออีกที ปรากฎว่า ขนาดโตเป็น 3 เซ็นต์ฯเเล้ว หมอบอกว่ามันโตเร็วมาก ต้องผ่าออกอย่างเดียว เพราะกินยาคงเอาไม่อยู่ เราก็เลยย้ายไปหาหมอที่โรงพยาบาล N เพราะเป็นอาจารย์หมอของพี่ชายเรา เพื่อตรวจอีกรอบ ตรวจเเล้วหมอบอกว่าเราเป็นทั้งสามอย่าง เเละเป็นเยอะมาก มีถุงขนาด 3 เซ็นต์ กับ 6 เซ็นต์ อยู่ในรังไข่ข้างซ้าย ฉะนั้นต้องผ่าสถานเดียว เเล้วก็ต้องฉีดฮอร์โมนดูเเลมันอีก 2 ปี
รูปข้างล่างนี้ คือมดลูกเราเอง 555 เราผ่าตัดแบบส่องกล้องน่ะ หมายเลข 1 คือ มดลูก หมายเลข 2 คือรังไข่ข้างซ้าย หมายเลข3 คือรังไข่ข้างขวา สังเกตได้ว่า รังไข่ข้างขวาจะฟีบๆ เเต่ข้างซ้ายนี่ เต่งมากๆ (ก็มีถุงน้ำรวมตั้ง 9 เซ็นต์ อ่ะ )
อีกรูปคือตอนที่เจาะรังไข่เเล้ว เลือดจะคล้ำๆ เหมือนสีชอกโกแลต
ตอนที่ผ่าใช้เวลานานมาก เเถมต้องสวนก้นให้หมดไส้หมดพุง (ทำdetox ดีๆนี่เอง) ทรมานอ่ะ หลังจากผ่า หมอบอกว่า นอกจาก chocolate cyst ในรังไข่เเล้ว เราก็มีผังผืดเกาะที่ลำไส้ เเละท่อนำไข่ (มันกำลังจะลามไปเเล้วววววววว) เเละมี Adenomyosis เล็กน้อย เเต่อันนี้ผ่าไม่ได้ ให้อดทนต่อไป
หลังจากผ่าเเล้ว เราต้องฉีดฮอร์โมน (ถ้าพูดง่ายๆก็คือยาคุมน่ะเเหละ) เพราะเราเป็นค่อนข้างหนัก โรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาดนะ หลายๆปีผ่านไป มันก็จะเกิดอีก เเละจากอายุเรา เจอขนาดใหญ่อย่างงี้ มีเเนวโน้มว่ามันจะกลับมาเป็นภายในไม่กี่ปี เลยต้องควบคุมไว้ ยาที่เราฉีดคือ DMPA (depot medoxy progesterone acetate) ซึ่งคือยาคุมชนิดฉีดนั่นเอง ในการคุมกำเนิดจะฉีด DMPA 150 mg ทุก 3 เดือน เเต่ในการรักษา endometriosis เคสเรา คือ ฉีด 100 mg ทุกเดือน (คิดูละกันว่าปริมาณ ฮอร์โมนจะเยอะขนาดไหน)
กลไกการทำงานของ DMPA
จริงๆผลข้างเคียงของ DMPA มีมากกว่านี้นะ หมอที่รักษาเราบอกมา มันจะทำให้เราเหมือนคนวัยทอง จะร้อนวูบวาบ อารมณ์หงุดหงิด มวลกระดูกลดลง ทำให้เราต้องกินเเคลเซียมเสริมด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวกระดูกพรุน T-T ก็รักษากันต่อไป.....ตอนนี้เราฉีดมาปีนึงละ เลยลด dose ลง เหลือ 3 เดือน ฉีดครั้ง
หวังว่าคงไม่เป็นอีก ในเร็ววันนี้
รู้สึกเขียน blog นี้ วนไปวนมาไงไม่รู้ คือมีข้อมูลเยอะอ่ะ อยากพูดไปหมดเลย ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มก็ถามมาได้นะ ตอนนี้เชี่ยวชาญเรื่องนี้พอสมควรเลยล่ะ
Tuesday, August 4, 2009
จิตตก กับ เรื่อง......เดิมๆ
เบื่อตัวเองว่ะ
รักเธอจนเหนื่อย หัวใจ - -
ป.ล. ขี้เกียจแก้ให้ฟัง imeem ได้จบเพลง เอางี้ก็เเล้วกันนะ ง่ายๆ
รักเธอจนเหนื่อยหัวใจ
วันที่ลางเลือน กับคืนที่เลือนลาง เหม่อลอยคว้างเหมือนคนหมดทางไปต่อ
ใจที่ให้ไป อาจยังไม่เพียงพอ ถ้ามันพอก็คงไม่เป็นอย่างนี้
ใกล้กันเหมือนมันยิ่งไกล ไม่ยอมเผยใจสักที ไม่เคยเห็นใจคนที่มันรักเธอ
ดูเหมือนมีใจ ก็ทำเหมือนมีใจ ไม่ทันไรเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นอื่น
ไม่มีหัวใจอย่าทน ไม่อยากรักกันอย่าฝืน บอกเลยฉันเป็นคนอื่นจะไม่ฝืนหัวใจ
อย่าโลเลอย่างลม อย่าเรรวนร่ำไร ฉันดูไม่ออก ว่าเธอน่ะคิดยังไง
อย่าลังเลอยู่เลย อย่าล่องลอยเรื่อยไป สายลมมันโชยเอื่อย รักเธอจนเหนื่อยหัวใจ
คนไม่มีใจ อย่าทำเหมือนมีใจ เปิดได้ไหมเผยใจให้เห็นกันหน่อย
ถ้ามีหัวใจจะรอ ถ้าอยากรักกันจะคอย บอกเพียงว่ารักสักหน่อยก็จะคอยเรื่อยไป
อย่าโลเลอย่างลม อย่าเรรวนร่ำไร ฉันดูไม่ออก ว่าเธอน่ะคิดยังไง
อย่าลังเลอยู่เลย อย่าล่องลอยเรื่อยไป สายลมมันโชยเอื่อย รักเธอจนเหนื่อยหัวใจ
ใจที่ให้ไป อาจยังไม่เพียงพอ ถ้ามันพอก็คงไม่เป็นอย่างนี้
ใกล้กันเหมือนมันยิ่งไกล ไม่ยอมเผยใจสักที ไม่เคยเห็นใจคนที่มันรักเธอ
ดูเหมือนมีใจ ก็ทำเหมือนมีใจ ไม่ทันไรเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นอื่น
ไม่มีหัวใจอย่าทน ไม่อยากรักกันอย่าฝืน บอกเลยฉันเป็นคนอื่นจะไม่ฝืนหัวใจ
อย่าโลเลอย่างลม อย่าเรรวนร่ำไร ฉันดูไม่ออก ว่าเธอน่ะคิดยังไง
อย่าลังเลอยู่เลย อย่าล่องลอยเรื่อยไป สายลมมันโชยเอื่อย รักเธอจนเหนื่อยหัวใจ
คนไม่มีใจ อย่าทำเหมือนมีใจ เปิดได้ไหมเผยใจให้เห็นกันหน่อย
ถ้ามีหัวใจจะรอ ถ้าอยากรักกันจะคอย บอกเพียงว่ารักสักหน่อยก็จะคอยเรื่อยไป
อย่าโลเลอย่างลม อย่าเรรวนร่ำไร ฉันดูไม่ออก ว่าเธอน่ะคิดยังไง
อย่าลังเลอยู่เลย อย่าล่องลอยเรื่อยไป สายลมมันโชยเอื่อย รักเธอจนเหนื่อยหัวใจ
รักเธอจนเหนื่อย หัวใจ - -
ป.ล. ขี้เกียจแก้ให้ฟัง imeem ได้จบเพลง เอางี้ก็เเล้วกันนะ ง่ายๆ
Saturday, August 1, 2009
RETURN OF MY KINOKO
เดิมตุ๊กตาติดเสาอากาศรถเราเป็นน้องเห็ดมาริโอ้ เเต่มีคนๆนึง เอารถเราไปขับต่างจังหวัดด้วยความเร็วสูง 160km/hr น้องเห็ดเราเลยกระเด็นหล่นไป (เคืองนะเนี่ย -_-*)
เราก็ตามล่าหาน้องเห็ดตัวใหม่ เเต่มันไม่มีเเล้วอ่ะ ฮือออออออ ก็เลย....เอามือมาใส่เเทน
เราก็ตามล่าหาน้องเห็ดตัวใหม่ เเต่มันไม่มีเเล้วอ่ะ ฮือออออออ ก็เลย....เอามือมาใส่เเทน
ดูเเล้ว เหมือนเราเป็นสาวก "เพื่อน" ในการ์ตูนเรื่อง 20th century boy เลยแฮะ (เเม่เห็นครั้งเเรกตกใจ นึกว่าชูนิ้วกลาง)
หลังจากเปลี่ยนเป็นน้องนิ้วได้ซักครึ่งปี ..... ร้านที่เราซื้อน้องเห็ดคิโนโกะ ก็...เอาน้องเห็ดกลับมาขายอีกครั้ง เย๊๊๊ !!!!
มันเป็นพวงกุญเเจ (น้องเห็ดตัวเก่าเป็นตุ๊กตา) เเต่มัน adapt กันได้ 555555
คิโนโกะตัวใหม่ เเต่น่ารักเหมือนเดิม อิอิ
มันเป็นพวงกุญเเจ (น้องเห็ดตัวเก่าเป็นตุ๊กตา) เเต่มัน adapt กันได้ 555555
คิโนโกะตัวใหม่ เเต่น่ารักเหมือนเดิม อิอิ
Sunday, July 26, 2009
กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ !!!!
มาป้องกันหวัด 2009 กัน ด้วยวิธีง่ายๆ เเบบที่เค้ารณรงค์กัน คือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ (เเต่เมื่อวานนัดห้อง กินข้าวกัน 15 ชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ 9 ชีวิต ไม่มีใครใช้ช้อนกลางซักคน ให้มันได้อย่างงี้ซิ -__-" )
เพื่อนๆดูไม่ค่อยกลัวกันนะ เเต่ที่ทำงานนี่ซิ .... หรือเพราะเราอยู่แผนกที่ดูแลเรื่อง health ของพนักงานด้วยก็ไม่รู้ ยิ่งหัวหน้านะ ยิ่งเข้มงวดเรื่องนี้มาก ไปเดินซื้อของตลาดนัดใต้ตึก ก็บอกให้เราใส่หน้ากาก จะนั่งรถตู้บริษัทไปออฟฟิศที่ระยองง ก็ให้ใส่หน้ากาก เเถมเเเจกหน้ากากไฮโซให้พนักงานในแผนกไปใช้คนละอัน (หน้ากากอนามัยเเบบปกติ มีให้เบิกใช้ทุกวันอยู่เเล้ว) เเต่ละคนก็ได้รุ่นที่เหมาะกับตัวเองไป เราได้ N95 มาล่ะ เค้าว่ามันป้องกันเชืื้อโรคได้ดีเเท้ ซึ่งเราว่ามันคงช่วยลดหน้าบานได้ด้วย (เพราะใส่เเล้วร้อนมาก เหมือนอบซาวน่า)
ข้อดีของการใส่หน้ากากคือ ไม่ต้องเเต่งหน้า เพราะมันสามารถซ่อนใบหน้าเยินๆเอาไว้ได้ 555
เพื่อนๆดูไม่ค่อยกลัวกันนะ เเต่ที่ทำงานนี่ซิ .... หรือเพราะเราอยู่แผนกที่ดูแลเรื่อง health ของพนักงานด้วยก็ไม่รู้ ยิ่งหัวหน้านะ ยิ่งเข้มงวดเรื่องนี้มาก ไปเดินซื้อของตลาดนัดใต้ตึก ก็บอกให้เราใส่หน้ากาก จะนั่งรถตู้บริษัทไปออฟฟิศที่ระยองง ก็ให้ใส่หน้ากาก เเถมเเเจกหน้ากากไฮโซให้พนักงานในแผนกไปใช้คนละอัน (หน้ากากอนามัยเเบบปกติ มีให้เบิกใช้ทุกวันอยู่เเล้ว) เเต่ละคนก็ได้รุ่นที่เหมาะกับตัวเองไป เราได้ N95 มาล่ะ เค้าว่ามันป้องกันเชืื้อโรคได้ดีเเท้ ซึ่งเราว่ามันคงช่วยลดหน้าบานได้ด้วย (เพราะใส่เเล้วร้อนมาก เหมือนอบซาวน่า)
ข้อดีของการใส่หน้ากากคือ ไม่ต้องเเต่งหน้า เพราะมันสามารถซ่อนใบหน้าเยินๆเอาไว้ได้ 555
Saturday, July 11, 2009
โรคร้ายรุมเร้า T^T
ประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เจ็บคอ มึนหัวเหมือนจะเป็นหวัด ไปหาหมอ เอายามากิน ยังเจ็บคออยู่เลยเปลี่ยนหมอ ทานยาแก้อักเสบ อย่างเเรงไปอีกชุด ก็ยังไม่หาย เจ็บคออยู่ เเถมเจ็บมากเวลาเช้าๆ พอยาหมดก็เลยอยู่เฉยๆ พักหน่อย ไม่อยากกินยาอีก อยู่เฉยๆซักสองอาทิตย์ก็ยังไม่ดีขึ้น
สองสามวันนี้ตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่เรียนต่อ หู คอ จมูก (โกสินนั่นเอง) ว่าเเล้วก็นัดแนะกันไปตรวจที่พระมงกุฎฯ ฟ้าไปด้วย เพราะอยากส่องคออยู่เหมือนกัน ผลปรากฎว่า....เราเป็นกรดไหลย้อน ที่เจ็บคอน่ะ ไม่ได้เจ็บเพราะคออักเสบ ฮ่วย !! ทำไมขี้โรคงี้ฟะ
ตอนนี้ก็เลยตัดสินใจเป็นคนไข้ของโกสินซะเลย เดี๋ยววันไหนว่างๆก็จะไปทำบัตรโรง'บาลพระมงกุฎ แล้วก็ไปหาหมอโกสิน เป็นเรื่องเป็นราวพร้อมรับยา เเต่พอเล่าให้ที่บ้านฟัง มีเเต่คนบอกให้ไปหาหมอเอกชนซะ ทำไมต้องไปหาเพื่อน หมอที่ไหนก็รักษาได้ (เพราะเราเบิกได้) เออ....เราก็รู้นะว่าโรง'บาลรัฐบาลน่ะมันลำบาก รอคิวนาน เเต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ก็ไปเอกชนมาสองรอบเเล้วหาว่าเราเป็นคออักเสบทั้งสองรอบนี่นา จะให้เราไปหาอีกเเล้วบอกว่า เป็น กรดไหลย้อนค่ะ มาหาหมอ เราก็ไม่อยากอ่ะ อยากไปหาเพื่อนเรามันผิดตรงไหน หงุดหงิดนะเนี่ย
นอกจากกรดไหลย้อน ตอนนี้ยังเป็นตาปลาอีก (เอาเข้าไป) จากเม็ดเล็กๆไม่เจ็บไม่ปวด อะไรเลย เราก็ไปทายากัดตาปลา อยากให้มันออกไป คราวนี้เเหละ เหมือนมันโดนกัด จากเม็ดเล็กๆเท่าสิว กลายเป็นเม็ดใหญ่เป็นเม็ดข้าว แถมเจ็บอีกต่างหาก เดินเเล้วเจ็บอ่ะ เเล้วเค้าบอกว่ามันต้องทายาเป็นเดือนๆเลยนะกว่ามันจะลอกออกมา (เซ็งว่ะ) จะไปผ่าออกก็กลัวเท้าเป็นรูโบ๋ T^T ก็.....ต้องทายากันต่อไป
สองสามวันนี้ตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่เรียนต่อ หู คอ จมูก (โกสินนั่นเอง) ว่าเเล้วก็นัดแนะกันไปตรวจที่พระมงกุฎฯ ฟ้าไปด้วย เพราะอยากส่องคออยู่เหมือนกัน ผลปรากฎว่า....เราเป็นกรดไหลย้อน ที่เจ็บคอน่ะ ไม่ได้เจ็บเพราะคออักเสบ ฮ่วย !! ทำไมขี้โรคงี้ฟะ
ตอนนี้ก็เลยตัดสินใจเป็นคนไข้ของโกสินซะเลย เดี๋ยววันไหนว่างๆก็จะไปทำบัตรโรง'บาลพระมงกุฎ แล้วก็ไปหาหมอโกสิน เป็นเรื่องเป็นราวพร้อมรับยา เเต่พอเล่าให้ที่บ้านฟัง มีเเต่คนบอกให้ไปหาหมอเอกชนซะ ทำไมต้องไปหาเพื่อน หมอที่ไหนก็รักษาได้ (เพราะเราเบิกได้) เออ....เราก็รู้นะว่าโรง'บาลรัฐบาลน่ะมันลำบาก รอคิวนาน เเต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ก็ไปเอกชนมาสองรอบเเล้วหาว่าเราเป็นคออักเสบทั้งสองรอบนี่นา จะให้เราไปหาอีกเเล้วบอกว่า เป็น กรดไหลย้อนค่ะ มาหาหมอ เราก็ไม่อยากอ่ะ อยากไปหาเพื่อนเรามันผิดตรงไหน หงุดหงิดนะเนี่ย
นอกจากกรดไหลย้อน ตอนนี้ยังเป็นตาปลาอีก (เอาเข้าไป) จากเม็ดเล็กๆไม่เจ็บไม่ปวด อะไรเลย เราก็ไปทายากัดตาปลา อยากให้มันออกไป คราวนี้เเหละ เหมือนมันโดนกัด จากเม็ดเล็กๆเท่าสิว กลายเป็นเม็ดใหญ่เป็นเม็ดข้าว แถมเจ็บอีกต่างหาก เดินเเล้วเจ็บอ่ะ เเล้วเค้าบอกว่ามันต้องทายาเป็นเดือนๆเลยนะกว่ามันจะลอกออกมา (เซ็งว่ะ) จะไปผ่าออกก็กลัวเท้าเป็นรูโบ๋ T^T ก็.....ต้องทายากันต่อไป
Thursday, July 2, 2009
Oh my hair !!!
หลังจากไปดัดผม + ทำไฮไลท์มา สีผมก็สว่างมากมาย ทำให้สาวผิวสีน้ำผึ้งอย่างเรา กลายเป็นน้ำผึ้งไหม้ไปซะ 555 ผ่านมาสองเดือนสระผมไปหลายครั้ง สีก็ยิ่งอ่อนลงเรื่อยๆ ตอนนี้มีเเต่คนทักว่าเป็นฝรั่ง ให้ตายเถอะ ลอนผมก็เริ่มคลาย (มาได้ซักพักแล้ว เพราะว่ามันดัดไม่ค่อยอยู่) ตอนนี้รอพักผมก่อน เเล้วคงจะทำอะไรซักอย่างกับมัน ไม่ยืดก็ทำสีใหม่ เพราะสภาพตอนนี้ไม่ค่อยถูกใจอ่ะ T_T
ดูดิ โดนแดดแล้ว ทองซะ เฮ้อ
ดูดิ โดนแดดแล้ว ทองซะ เฮ้อ
Tuesday, June 23, 2009
ไป Praque กันมั้ย
วันนี้เปิดบล๊อกของสาวคนนึง เธอร้องเพลงนี้เอาไว้ ไอ้เราก็ไม่เคยฟัง (บ้านนอกจริงๆ) ก็เลยลองหา mv มาดู เเล้วก็เห็นว่า ถ่ายที่ Prague นี่หว่า เเต่สภาพที่ถ่ายนี่ โล่งมากไม่มีคนเลย ผิดกับที่เราไป เพราะตอนเราไปจตุรัสตรงนี้มีงานอีสเตอร์อ่ะ คนอย่างกะหนอน เห็นเเล้วคิดถึงตอนไปเที่ยวจัง ลงรูปหน่อยดีกว่า
"Lucky" Official Video With Colbie Caillat
"Lucky" Official Video With Colbie Caillat
g
Monday, June 22, 2009
Output from เมื่อบุ๋นไปเป็นนางแบบ Portrait
วันนี้ได้ CD จากพี่ตากล้องคนนึง เลยเอารูปมาลงซะหน่อย ขอบคุณพี่ต๋องนะคะ
เราได้เห็นรูปจากหลายๆกล้องเเล้ว เเต่ยังไม่ได้ CD (ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้รึปล่าว) ส่วนรูปที่พี่ๆเค้าลงในพันทิบไว้ เราก็ยังไม่ได้เซฟ เมื่อวานเข้าไปดูกระทู้ กะว่าจะเซฟซะหน่อย .....หายเรียบ เวงกำ -_-" กระทู้กลุ่มย่อยนี่เค้าลบทิ้งกันด้วยหรือนี่ เเค่เดือนกว่าๆเองนะ
พี่เค้าบอกว่าถ้าจะเอารูปลงเน็ตให้เอารูปที่เค้า resize ไว้ให้ เราก็โอเค เชื่อฟังตากล้อง (มันก็เลยมี watermark ของพี่เค้าอยู่ด้วยนะ)
พักนี้ชอบรูปตัวเองเเบบขำๆ สงสัยถ่ายรูปบ่อยเกิน เบื่อหน้าตัวเอง
อีกซักรูป
เราได้เห็นรูปจากหลายๆกล้องเเล้ว เเต่ยังไม่ได้ CD (ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้รึปล่าว) ส่วนรูปที่พี่ๆเค้าลงในพันทิบไว้ เราก็ยังไม่ได้เซฟ เมื่อวานเข้าไปดูกระทู้ กะว่าจะเซฟซะหน่อย .....หายเรียบ เวงกำ -_-" กระทู้กลุ่มย่อยนี่เค้าลบทิ้งกันด้วยหรือนี่ เเค่เดือนกว่าๆเองนะ
พี่เค้าบอกว่าถ้าจะเอารูปลงเน็ตให้เอารูปที่เค้า resize ไว้ให้ เราก็โอเค เชื่อฟังตากล้อง (มันก็เลยมี watermark ของพี่เค้าอยู่ด้วยนะ)
พักนี้ชอบรูปตัวเองเเบบขำๆ สงสัยถ่ายรูปบ่อยเกิน เบื่อหน้าตัวเอง
อีกซักรูป
เพื่อน ? แปลกๆใน Hi5
เคสที่ 1 :
มีคนมา add hi5 เรา เราก็งงว่าใคร เพราะชื่อและรูปเค้าไม่ระบุสัญชาติเลย เเต่เห็นเป็นผู้หญิงก็เลยรับ add ไป (ใน hi5 เราค่อนข้างจะซี้ซั้วอ่ะ ใครขอ add ก็รับหมด) หลังจากนั้นก็มาค้นพบว่า เค้าไม่ใช่เพื่อนเรา เเละเราไม่เคยรู้จักกันเลย เเต่ไม่เป็นไร เค้าทักไรมา เราก็ทักทายกลับไปบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นเค้าก็เริ่ม add เพื่อนเรา เเละแฟนเรา (งงว่ะ ไม่รู้จักแล้วจะ add ต่อไปทำไมหลายๆคน เพราะดูท่าทางเค้าไม่ใช่พวก add ทำยอดอ่ะ มีเพื่อนเเค่ 100 คนเอง)
เคสที่ 2 :
โอ๊ะ....... เหมือนจะเป็นเดจาวู มีคนมา add hi5 เรา เราก็งงว่าใคร เพราะชื่อและรูปเค้าไม่ระบุสัญชาติเลย (อีกเเล้ว) หลังจากเปิดเข้าไปดู hi5 เค้า (เริ่มฉลาดขึ้น ต้องเช็คโพรไฟล์ก่อน add ซะหน่อย) เราก็เห็นเพื่อนที่ทำงานเราคนนึงอยู่ใน friend list ก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ.....คงจะเป็นใครซักคนที่ทำงานน่ะเเหละ ก็เลยรับ add ไป ปรากฎว่า...ชีก็เป็นใครก็ไม่รู้อีกเเล้วอ่ะ เเต่ก็มาทักทายเราบ้าง เราก็ตอบกลับไปบ้าง (ตามมารยาท) หลังจากนั้นก็มีเพื่อนที่ทำงานเราหลายคน โทรมาถามเราว่า เธอคนน้ี้คือใครเหรอ เค้ามา add hi5 เรา เห็นมีบุ๋นอยู่ใน list เห็นบุ๋นคุยกับเค้า บลาๆๆ (เรากลายเป็น reference ไปซะงั้น) ตอนนี้เห็นมีเพื่อนที่ทำงานเราอยู่ใน friend list เค้า 7 คนละ วันนี้เห็นมีเพื่อนที่อื่นของเราอยู่ใน friend list เค้าอีก 2 คน (งงอีกเเล้ว ไม่รู้จักแล้วจะ add ต่อไปทำไมหลายๆคน เพราะดูท่าทางเค้าไม่ใช่พวก add ทำยอดอ่ะ มีเพื่อนเเค่ 100 คนเอง)
สองคนนี้เข้ามาดู hi5 เราบ่อยด้วยนะ เฉลี่ยเเล้วมาดูทุกอาทิตย์เลย (งงจริงๆ มาดูอะไรกันบ่อยๆ เพื่อนชั้นยังนานๆมาดูที) เเล้วเราไม่เข้าใจคนพวกนี้เลยอ่ะ ไม่ใช้รูปตัวเอง ใช้รูปคนอื่น
- เคสเเรก เค้าใช้รูปพริตตี้ (มีรูปเดียวไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเพิ่มรูป ซึ่งเราว่าคงไม่ใช่รูปเค้าหรอก)
- เคสสอง ใช้รูปคนธรรมดาที่โพสต์ในเน็ต เปลี่ยนรูปไปเรื่อย เเต่รูปไม่เคยซ้ำคน เเละจะเป็นรูปที่เห็นหน้าไม่ชัด หันหลังบ้างหันข้างบ้าง (ที่รู้ก็เพราะ หลายรูปเป็นสาวๆที่เราตามอ่านบล๊อกเค้าอยู่)
คุณไม่จริงใจกับคนอื่น ไม่แสดงตัวตนที่เเท้จริง เเล้วคุณต้องการอะไรจากมิตรภาพนี้เหรอ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อที่คุณบอก หรือสิ่งที่คุณเล่ามันเรื่องจริงรึปล่าว
ไม่เข้าใจคนพวกนี้ๆจริงๆ ทำไปเพื่ออะไรเนี่ย
มีคนมา add hi5 เรา เราก็งงว่าใคร เพราะชื่อและรูปเค้าไม่ระบุสัญชาติเลย เเต่เห็นเป็นผู้หญิงก็เลยรับ add ไป (ใน hi5 เราค่อนข้างจะซี้ซั้วอ่ะ ใครขอ add ก็รับหมด) หลังจากนั้นก็มาค้นพบว่า เค้าไม่ใช่เพื่อนเรา เเละเราไม่เคยรู้จักกันเลย เเต่ไม่เป็นไร เค้าทักไรมา เราก็ทักทายกลับไปบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นเค้าก็เริ่ม add เพื่อนเรา เเละแฟนเรา (งงว่ะ ไม่รู้จักแล้วจะ add ต่อไปทำไมหลายๆคน เพราะดูท่าทางเค้าไม่ใช่พวก add ทำยอดอ่ะ มีเพื่อนเเค่ 100 คนเอง)
เคสที่ 2 :
โอ๊ะ....... เหมือนจะเป็นเดจาวู มีคนมา add hi5 เรา เราก็งงว่าใคร เพราะชื่อและรูปเค้าไม่ระบุสัญชาติเลย (อีกเเล้ว) หลังจากเปิดเข้าไปดู hi5 เค้า (เริ่มฉลาดขึ้น ต้องเช็คโพรไฟล์ก่อน add ซะหน่อย) เราก็เห็นเพื่อนที่ทำงานเราคนนึงอยู่ใน friend list ก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ.....คงจะเป็นใครซักคนที่ทำงานน่ะเเหละ ก็เลยรับ add ไป ปรากฎว่า...ชีก็เป็นใครก็ไม่รู้อีกเเล้วอ่ะ เเต่ก็มาทักทายเราบ้าง เราก็ตอบกลับไปบ้าง (ตามมารยาท) หลังจากนั้นก็มีเพื่อนที่ทำงานเราหลายคน โทรมาถามเราว่า เธอคนน้ี้คือใครเหรอ เค้ามา add hi5 เรา เห็นมีบุ๋นอยู่ใน list เห็นบุ๋นคุยกับเค้า บลาๆๆ (เรากลายเป็น reference ไปซะงั้น) ตอนนี้เห็นมีเพื่อนที่ทำงานเราอยู่ใน friend list เค้า 7 คนละ วันนี้เห็นมีเพื่อนที่อื่นของเราอยู่ใน friend list เค้าอีก 2 คน (งงอีกเเล้ว ไม่รู้จักแล้วจะ add ต่อไปทำไมหลายๆคน เพราะดูท่าทางเค้าไม่ใช่พวก add ทำยอดอ่ะ มีเพื่อนเเค่ 100 คนเอง)
สองคนนี้เข้ามาดู hi5 เราบ่อยด้วยนะ เฉลี่ยเเล้วมาดูทุกอาทิตย์เลย (งงจริงๆ มาดูอะไรกันบ่อยๆ เพื่อนชั้นยังนานๆมาดูที) เเล้วเราไม่เข้าใจคนพวกนี้เลยอ่ะ ไม่ใช้รูปตัวเอง ใช้รูปคนอื่น
- เคสเเรก เค้าใช้รูปพริตตี้ (มีรูปเดียวไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเพิ่มรูป ซึ่งเราว่าคงไม่ใช่รูปเค้าหรอก)
- เคสสอง ใช้รูปคนธรรมดาที่โพสต์ในเน็ต เปลี่ยนรูปไปเรื่อย เเต่รูปไม่เคยซ้ำคน เเละจะเป็นรูปที่เห็นหน้าไม่ชัด หันหลังบ้างหันข้างบ้าง (ที่รู้ก็เพราะ หลายรูปเป็นสาวๆที่เราตามอ่านบล๊อกเค้าอยู่)
คุณไม่จริงใจกับคนอื่น ไม่แสดงตัวตนที่เเท้จริง เเล้วคุณต้องการอะไรจากมิตรภาพนี้เหรอ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อที่คุณบอก หรือสิ่งที่คุณเล่ามันเรื่องจริงรึปล่าว
ไม่เข้าใจคนพวกนี้ๆจริงๆ ทำไปเพื่ออะไรเนี่ย
Saturday, June 20, 2009
คดีฆาตกรรมในตู้ปิดตาย
เมื่อวันก่อนนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่รู้ ไปเปิดตู้รองเท้าที่ปิดตาย ( ขออธิบายก่อนที่บ้านมีตู้รองเท้า 3 ตู้ ตู้นี้เป็นตู้ที่ไม่ได้มีการเปิดมานาน เนื่องจากตอนนี้มีเตาแกีสปิคนิกเเละโต๊ะเล็กๆวางบังอยู่ ) เปิดมาถึงกับช๊อค เพราะว่ามีรองเท้าหมดสภาพดับอนาถเต็มตู้ T_T
เนื่องจากเป็นการตายที่จับมือใครดมไม่ได้ เราจึงขอเรียกว่า คดีฆาตกรรมในตู้ปิดตาย .......
จริงๆก็อย่างที่รู้ๆกันว่ารองเท้าที่ไม่ได้ใช้ พอนานๆไป ยางกับหนังมันจะเสื่อม (เปิดตู้มาเห็นพื้นรองเท้าผุเป็นผงๆเลยอ่ะ) วันนี้เราก็เลยทำศพให้ผู้จากไป (พูดง่ายๆก็คือ รื้อตู้ เอารองเท้าออกมาทิ้งนั่นเอง) เสียดายเหมือนกัน บางคู่ซื้อมาเป็นพันเเต่ใส่เเค่2-3 ครั้งเอง บางคู่ก็ไม่เคยใส่เลย เเต่กาวเสืื่อม ทั้งสาย ทั้งพื้น หลุดออกเป็นชิ้นๆ (ซื้อมาตั้งเเต่ป.ตรี จนบัดนี้ยังไม่เคยใส่ คิดว่าคงไม่หยิบมันมาอีกเเล้วล่ะ ก็ทิ้งมันไป อย่าเอามันไปซ่อมเลย)
ไหนๆก็รื้อเเล้ว ก็จัดระเบียบกันซะหน่อย เอารองเท้าที่มีอยู่ทั้งหมด มาขัดมาล้าง เก็บเข้าตู้ (เพราะมีที่ว่างเเล้ว) เข้ากล่องให้เป็นระเบียบ (เพราะตู้เก็บไม่พอ) นับๆไปตอนนี้เหลืออยู่ 36 คู่ อืม.....ใส่ได้ทั้งเดือนไม่ซ้ำคู่เลยนะเนี่ย (คิดมาตลอดมาเราไม่ค่อยมีรองเท้าใส่ สงสัยจะคิดผิดแฮะ)
เนื่องจากเป็นการตายที่จับมือใครดมไม่ได้ เราจึงขอเรียกว่า คดีฆาตกรรมในตู้ปิดตาย .......
จริงๆก็อย่างที่รู้ๆกันว่ารองเท้าที่ไม่ได้ใช้ พอนานๆไป ยางกับหนังมันจะเสื่อม (เปิดตู้มาเห็นพื้นรองเท้าผุเป็นผงๆเลยอ่ะ) วันนี้เราก็เลยทำศพให้ผู้จากไป (พูดง่ายๆก็คือ รื้อตู้ เอารองเท้าออกมาทิ้งนั่นเอง) เสียดายเหมือนกัน บางคู่ซื้อมาเป็นพันเเต่ใส่เเค่2-3 ครั้งเอง บางคู่ก็ไม่เคยใส่เลย เเต่กาวเสืื่อม ทั้งสาย ทั้งพื้น หลุดออกเป็นชิ้นๆ (ซื้อมาตั้งเเต่ป.ตรี จนบัดนี้ยังไม่เคยใส่ คิดว่าคงไม่หยิบมันมาอีกเเล้วล่ะ ก็ทิ้งมันไป อย่าเอามันไปซ่อมเลย)
ไหนๆก็รื้อเเล้ว ก็จัดระเบียบกันซะหน่อย เอารองเท้าที่มีอยู่ทั้งหมด มาขัดมาล้าง เก็บเข้าตู้ (เพราะมีที่ว่างเเล้ว) เข้ากล่องให้เป็นระเบียบ (เพราะตู้เก็บไม่พอ) นับๆไปตอนนี้เหลืออยู่ 36 คู่ อืม.....ใส่ได้ทั้งเดือนไม่ซ้ำคู่เลยนะเนี่ย (คิดมาตลอดมาเราไม่ค่อยมีรองเท้าใส่ สงสัยจะคิดผิดแฮะ)
Monday, June 8, 2009
ฉันต้องทำ ทำอะไรซักอย่างเเร้ววววว....มาออกกำลังกายกันเถอะ
กันยายนปีที่เเล้ว เราไปผ่าชอกโกแลตซีสต์มา (เออ...ไม่เคยอัพบล๊อกเรื่องนี้เลยแฮะ ไว้มาอัพดีกว่า เป็นความรู้ให้ผู้อื่น)
หลังจากผ่า หมอก็ฉีดฮอร์โมนให้เรา เป็นการรักษาระยะยาว เพื่อไม่ให้มันกลับมาเป็นอีก (พูดให้ดูดีว่าเป็นฮอร์โมน เเต่จริงๆมันก็คือยาคุมน่ะเเหละ) ข้อเสียของยาตัวนี้ (ที่เราเจอ) ก็คือ เลือดออกกะปิดกะปอย ปวดกระดูก เป็นตะคริวง่ายโคตรๆ (จากปกติก็เป็นตะคริวง่ายอยู่เเล้ว เดี๋ยวนี้แค่เอื้อมหยิบของ หรือถอดเสื้อก็พาลจะเป็นตะคริวซะเเล้ว) สาเหตุที่ปวดกระดูก กับเป็นตะคริวง่ายก็เพราะ...ยาคุมมันทำให้ฮอร์โมนเราเปลี่ยน ตอนนี้เราจะเป็นคนวัยทอง อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เเละมีโอกาสเป็นกระดูกพรุน (เพราะมวลกระดูกลดลง) คุณหมอก็เลยให้ทานแคลเซียมเสริม วันละ 2 เม็ด เเต่เราก็ยังคงปวดกระดูก และเป็นตะคริวอยู่ดี
หมอบอกว่า ต้องออกกำลังกายด้วย ถ้าไม่ออกก็จะเป็นอย่างงี้เเหละ เพราะแคลเซียมมันช่วยได้แค่ระดับหนึ่ง (อันนี้เราเติมเอง) ต้องออกกำลังกายเพื่อสร้างมวลกระดูก เราก็...เพิกเฉย 555 ก็ขี้เกียจอ่ะ อยากทำอย่างอื่นมากกว่า เช่น เล่นเน็ต อิอิ เป็นตะคริวก็ทน ปวดกระดูกก็อดทน แต่ตอนนี้ไม่ไหวเเล้วอ่ะ เริ่มปวดกระดูกมากขึ้น เมื่อคืน...เป็นตะคริวกลางดึก ปวดมากๆ เป็นตั้งเเต่ขามาถึงก้น นอนไม่ได้เลย เช้าแล้วขายังเจ็บๆ ก้นก็เจ็บๆ นั่งไม่ได้ เดินกระเพลก เลยลางานหนึ่งวันนอนกลิ้งไปมา เพราะเดินกับนั่งไม่ค่อยได้ เจ็บ แต่ตอนนี้หายเเล้ว
เจอเหตุการณ์วันนี้เข้า บอกตัวเองเลย ไม่ได้การละ ต้องทำอะไรซักอย่าง ออกกำลังกายโดยด่วน คงเริ่มจากอะไรง่ายๆ ให้ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ เเล้วคงจะไปฟิตเนสเหมือนเมื่อก่อน (เมื่อก่อนนี่คือ 2 ปีที่เเล้วนะ ปีที่เเล้วจนถึงปีนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลยอ่ะ) Fit for life !!!
หลังจากผ่า หมอก็ฉีดฮอร์โมนให้เรา เป็นการรักษาระยะยาว เพื่อไม่ให้มันกลับมาเป็นอีก (พูดให้ดูดีว่าเป็นฮอร์โมน เเต่จริงๆมันก็คือยาคุมน่ะเเหละ) ข้อเสียของยาตัวนี้ (ที่เราเจอ) ก็คือ เลือดออกกะปิดกะปอย ปวดกระดูก เป็นตะคริวง่ายโคตรๆ (จากปกติก็เป็นตะคริวง่ายอยู่เเล้ว เดี๋ยวนี้แค่เอื้อมหยิบของ หรือถอดเสื้อก็พาลจะเป็นตะคริวซะเเล้ว) สาเหตุที่ปวดกระดูก กับเป็นตะคริวง่ายก็เพราะ...ยาคุมมันทำให้ฮอร์โมนเราเปลี่ยน ตอนนี้เราจะเป็นคนวัยทอง อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เเละมีโอกาสเป็นกระดูกพรุน (เพราะมวลกระดูกลดลง) คุณหมอก็เลยให้ทานแคลเซียมเสริม วันละ 2 เม็ด เเต่เราก็ยังคงปวดกระดูก และเป็นตะคริวอยู่ดี
หมอบอกว่า ต้องออกกำลังกายด้วย ถ้าไม่ออกก็จะเป็นอย่างงี้เเหละ เพราะแคลเซียมมันช่วยได้แค่ระดับหนึ่ง (อันนี้เราเติมเอง) ต้องออกกำลังกายเพื่อสร้างมวลกระดูก เราก็...เพิกเฉย 555 ก็ขี้เกียจอ่ะ อยากทำอย่างอื่นมากกว่า เช่น เล่นเน็ต อิอิ เป็นตะคริวก็ทน ปวดกระดูกก็อดทน แต่ตอนนี้ไม่ไหวเเล้วอ่ะ เริ่มปวดกระดูกมากขึ้น เมื่อคืน...เป็นตะคริวกลางดึก ปวดมากๆ เป็นตั้งเเต่ขามาถึงก้น นอนไม่ได้เลย เช้าแล้วขายังเจ็บๆ ก้นก็เจ็บๆ นั่งไม่ได้ เดินกระเพลก เลยลางานหนึ่งวันนอนกลิ้งไปมา เพราะเดินกับนั่งไม่ค่อยได้ เจ็บ แต่ตอนนี้หายเเล้ว
เจอเหตุการณ์วันนี้เข้า บอกตัวเองเลย ไม่ได้การละ ต้องทำอะไรซักอย่าง ออกกำลังกายโดยด่วน คงเริ่มจากอะไรง่ายๆ ให้ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ เเล้วคงจะไปฟิตเนสเหมือนเมื่อก่อน (เมื่อก่อนนี่คือ 2 ปีที่เเล้วนะ ปีที่เเล้วจนถึงปีนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลยอ่ะ) Fit for life !!!
Sunday, May 31, 2009
เรียนจบอะไรมา ?
เมื่อวานนัดทานข้าวกับญาติๆฝั่งคุณพ่อ ก็เลยได้เจอ ทิวไผ่ ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งตอนนี้เรียนอยู่ม.6 แล้ว ก็เลยคุยกันเรื่อง admission กับ คณะที่เรียนเล็กน้อย
ทิวไผ่ : พี่บุ๋น เรียนจบอะไรมา
พี่บุ๋น : พี่เรียนวิดยาอ่ะ ป.ตรี อย่างงั้น ป.โท อย่างงี้ บลา บลา บลา
ทิวไผ่ : .......จริงเหรอ ผมคิดว่าพี่บุ๋นเรียนสายศิลป์ มาตลอดเลยนะเนี่ย ผมคิดว่าพี่จบอักษรฯ
พี่บุ๋น : (นึกในใจ ตูเนี่ยนะจบอักษรฯ) เหรอ... ทำไมคิดว่าพี่เรียนอักษรฯล่ะ
ทิวไผ่ : ก็พี่บุ๋นหน้าเหมือนเด็กศิลป์อ่ะ หน้าไม่เหมือนเด็กวิทย์
พี่บุ๋น : เเต่ก่อนพี่ใส่แว่นนะ ก็หน้าเหมือนเด็กวิทย์จะตายไป
ทิวไผ่ : เด็กศิลป์ใส่แว่นก็มีนะพี่
พี่บุ๋น : (นึกในใจ เออ...จะให้ตูเหมือนเด็กศิลป์ให้ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย) แสดงว่าพี่หน้าตาดีใช่ม๊าาาา เพราะเค้าว่าเด็กอักษรฯหน้าตาดีนิ
ทิวไผ่ : ประมาณนั้นอ่ะพี่
กรี๊ด ดีใจ ดีใจ มีเด็กชมหน้าตาดี (เกี่ยวมั้ยเนี่ย) เเต่ก็เคยมีคนทักนะว่า ไม่น่าเชื่อว่าหน้าอย่างเราเรียนจบโทวิดยา (ทำไมยะ หน้าอย่างงี้เรียนแบบนี้ไม่ได้เหรอ อย่าตัดสินคนจากหน้าตาดิ)
ทิวไผ่ : พี่บุ๋น เรียนจบอะไรมา
พี่บุ๋น : พี่เรียนวิดยาอ่ะ ป.ตรี อย่างงั้น ป.โท อย่างงี้ บลา บลา บลา
ทิวไผ่ : .......จริงเหรอ ผมคิดว่าพี่บุ๋นเรียนสายศิลป์ มาตลอดเลยนะเนี่ย ผมคิดว่าพี่จบอักษรฯ
พี่บุ๋น : (นึกในใจ ตูเนี่ยนะจบอักษรฯ) เหรอ... ทำไมคิดว่าพี่เรียนอักษรฯล่ะ
ทิวไผ่ : ก็พี่บุ๋นหน้าเหมือนเด็กศิลป์อ่ะ หน้าไม่เหมือนเด็กวิทย์
พี่บุ๋น : เเต่ก่อนพี่ใส่แว่นนะ ก็หน้าเหมือนเด็กวิทย์จะตายไป
ทิวไผ่ : เด็กศิลป์ใส่แว่นก็มีนะพี่
พี่บุ๋น : (นึกในใจ เออ...จะให้ตูเหมือนเด็กศิลป์ให้ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย) แสดงว่าพี่หน้าตาดีใช่ม๊าาาา เพราะเค้าว่าเด็กอักษรฯหน้าตาดีนิ
ทิวไผ่ : ประมาณนั้นอ่ะพี่
กรี๊ด ดีใจ ดีใจ มีเด็กชมหน้าตาดี (เกี่ยวมั้ยเนี่ย) เเต่ก็เคยมีคนทักนะว่า ไม่น่าเชื่อว่าหน้าอย่างเราเรียนจบโทวิดยา (ทำไมยะ หน้าอย่างงี้เรียนแบบนี้ไม่ได้เหรอ อย่าตัดสินคนจากหน้าตาดิ)
Sunday, May 24, 2009
ของที่ระลึก น้องฝึกงาน
ปีนี้เป็นปีแรกที่เรามีน้องฝึึกงาน (สำหรับงานของเรานะ) พี่เลี้ยงก็ไม่ใช่ใคร เรานี่เอง 555
ไม่รู้โชคร้ายหรือโชคดีที่เราได้เป็นพี่เลี้ยงของน้อง เพราะเราไม่รู้จะให้น้องทำอะไรอ่ะ เราอยากให้น้องได้ความรู้เยอะ ๆ ฉะนั้นงานปัญญาอ่อน พวกซีรอกซ์ ถ่ายเอกสารเราจะไม่ให้น้องทำ เเต่งานส่วนใหญ่ของเราก็เป็นเรื่องที่....ให้น้องช่วยไม่ได้ เพราะมันต้องมีความรู้เรื่องระบบของบริษัทค่อนข้างเยอะ เเต่คิดว่าเท่าที่ให้น้องทำๆ ก็โอเคเเหละน่า
น้องฝึกงานถึงสิ้นเดือนนี้ พี่ปอ หัวหน้าของเราก็เลยมอบหมายให้เราซื้อของที่ระลึกให้น้องเค้าหน่อย ให้ตังก์มาห้าร้อย เเต่คงซื้อไม่ถึงหรอก พอดีว่าเราจะไปจตุจักร ก็เลยไปเดินหาซื้อที่นั่นซะเลย
คิดว่าคนอย่างเราไปซื้อของขวัญเเล้วจะได้อะไรมาล่ะ หึหึ
ได้พวกกุญเเจหนังแมนๆ มาหนึ่งอัน ปั๋มชื่อน้องเค้าบนหนังด้วยนะ (น้องฝึกงานเป็นเด็กวิดวะ อ้อ...น้องผู้หญิงนะจ้ะ) เราว่ามันก็เข้ากะน้องเค้านะ เพราะเค้าไม่ได้หวานมาก แต่ก็ไม่ได้เเมน
จากนั้นได้ตุ๊กตาหน้าตาตลกมาอีกหนึ่งตัว ชอบมากๆ ขอบอก
รวมกันออกมาเป็นเช่นนี้
พรุ่งนี้จะไปเอากระดาษห่อของขวัญลายบริษัทห่อให้น้องเค้า 5555 ชอบบบบบ ถูกใจคนซื้อ เเต่ไม่รู้จะถูกใจคนจ่ายตังก์กะคนรับหรือป่าวนะ
ไม่รู้โชคร้ายหรือโชคดีที่เราได้เป็นพี่เลี้ยงของน้อง เพราะเราไม่รู้จะให้น้องทำอะไรอ่ะ เราอยากให้น้องได้ความรู้เยอะ ๆ ฉะนั้นงานปัญญาอ่อน พวกซีรอกซ์ ถ่ายเอกสารเราจะไม่ให้น้องทำ เเต่งานส่วนใหญ่ของเราก็เป็นเรื่องที่....ให้น้องช่วยไม่ได้ เพราะมันต้องมีความรู้เรื่องระบบของบริษัทค่อนข้างเยอะ เเต่คิดว่าเท่าที่ให้น้องทำๆ ก็โอเคเเหละน่า
น้องฝึกงานถึงสิ้นเดือนนี้ พี่ปอ หัวหน้าของเราก็เลยมอบหมายให้เราซื้อของที่ระลึกให้น้องเค้าหน่อย ให้ตังก์มาห้าร้อย เเต่คงซื้อไม่ถึงหรอก พอดีว่าเราจะไปจตุจักร ก็เลยไปเดินหาซื้อที่นั่นซะเลย
คิดว่าคนอย่างเราไปซื้อของขวัญเเล้วจะได้อะไรมาล่ะ หึหึ
ได้พวกกุญเเจหนังแมนๆ มาหนึ่งอัน ปั๋มชื่อน้องเค้าบนหนังด้วยนะ (น้องฝึกงานเป็นเด็กวิดวะ อ้อ...น้องผู้หญิงนะจ้ะ) เราว่ามันก็เข้ากะน้องเค้านะ เพราะเค้าไม่ได้หวานมาก แต่ก็ไม่ได้เเมน
จากนั้นได้ตุ๊กตาหน้าตาตลกมาอีกหนึ่งตัว ชอบมากๆ ขอบอก
รวมกันออกมาเป็นเช่นนี้
พรุ่งนี้จะไปเอากระดาษห่อของขวัญลายบริษัทห่อให้น้องเค้า 5555 ชอบบบบบ ถูกใจคนซื้อ เเต่ไม่รู้จะถูกใจคนจ่ายตังก์กะคนรับหรือป่าวนะ
Saturday, May 16, 2009
My Idea My Reward
ปีที่เเล้วที่บริษัทมีการจัด 50th year 50 idea contest ให้พนักงานเสนอไอเดียเพื่อปรับปรุงบริษัท (ขอเล่าbackground นิดนึง บริษัทเราเป็นบริษัทของฝรั่งเศส เปิดมา 50 ปีแล้ว แต่ออฟฟิศในไทยนี่เพิ่งตั้งมา 11 ปี) 50 idea ที่ชนะ เค้าจะนำมาปรับปรุงบริษัทจริงๆ เเละรางวัลสำหรับผู้ชนะก็คือ หุ้นบริษัท 50 หุ้น (อย่าคิดว่า โห.... 50 หุ้นเอง น้อยว่ะ เพราะว่ามันเป็นหุ้นในตลาดหุ้นฝรั่งเศสนะคะ ปีที่แล้วก่อนที่เศรษฐกิจทั่วโลกจะฟุบ หุ้นนึงน่ะ 50 ยูโรเลยนะ ลองคูณดู 50 หุ้น หุ้นละ 50 ยูโร ยูโรละ 50 บาท เป็นแสน!!!!)
บอกตามตรงว่าเราก็ไม่มีความคิดจะส่งไอเดียประกวดอะไรหรอก แต่....หัวหน้า assign ค่ะ เพราะแผนกที่เราทำงานน่ะ เป็นแผนกที่ต้อง improve system ต่างๆในบริษัทอยู่เเล้ว แกเลยบอกว่าให้ไปคิดๆดูว่างานที่เราทำ ปัญหาที่เราเจอ ระบบที่บริษัทเราน่าจะปรับปรุงมีอะไรมั้ย ให้ส่งอย่างน้อยคนละ 1 ไอเดีย ซึ่ง...เราก็คิดๆๆ ออกมา 1 ไอเดีย เเบบว่ามันเป็นไอเดียจริงๆนะ ไอเดียแบบดูเลื่อนลอยหน่อยๆ เราเสนอไปว่า อยากให้มี database สำหรับ share best practice ต่างๆทั้ง group เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ไม่เกิดซ้ำใน operaton center อื่น เเละช่วยลดเวลาในการแก้ปัญหา ส่งไปก็ไม่หวังอะไร เพราะถ้าไม่โดนสั่งให้ส่งก็คงไม่ส่งหรอก ปรากฎว่า ได้รางวัล อ่ะ
หลังจากได้รางวัล ชีวิตก็เหนื่อยขึ้น เริ่มจากต้องมานั่งเขียนบทความสั้นๆ เกี่ยวกับไอเดียของเราลงในวารสารของบริษัท (แล้วภาษาอังกฤษอีชั้นก็อ่อนแอเหลือเกิน ต้องให้หัวหน้ามาช่วยเกลาก่อนส่ง) หลังจากนั้นก็ต้องมานั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับหุ้นที่ได้ ทั้งเรื่องผลประโยชน์ condition ต่างๆ ที่สำคัญ ที่ปารีสดันใส่คำนำหน้าชื่อเราเป็น Mr. ทำให้เราต้องติดต่อกลับไปเพื่อให้ทางธนาคาร(ฝรั่งเศส) ที่จัดการเรื่องหุ้นเค้าเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อเราเป็น Ms. เราไม่รู้ว่าความผิดใคร ทำให้ชื่อเรากลายเป็นผู้ชาย แต่หลังจากนั้นก็มีการของให้เราเขียนบทความ เรื่อง เทศกาลสงกรานต์ เพื่อลงในวารสารของบริษัท (เพื่อเป็นการขอโทษที่ใส่ชื่อเราเป็นผู้ชาย) อยากบอกว่า....ไม่ต้องขอโทษก็ได้้้ ถ้าการขอโทษคือการเพิ่มงานให้เราเนี่ย ฮือๆ อย่างที่บอกไม่เก่งอังกฤษนะ ต้องมาเขียนบทความอีก เซ็ง
ความเหนืื่อยยังไม่จบสิ้น เมื่อเดือนที่เเล้วทางปารีสเมลมาบอกว่า ไอเดียของเราน่ะ เค้าทำออกมาเเล้วนะ ชื่อโปรเจค KM (ชื่อย่อนะ) เดี๋ยว project leader ชื่อคุณ Phillipe จะติดต่อเรามาอีกที หลังจากนั้น Phillipe ก็เมลมา แนะนำตัว ไอดีใจมากที่รู้ว่าโปรเจคนี้ initiate มาจากไอเดียยู บลา บลา บลา แล้วก็ส่งลิงก์ของโปรเจคนี้มาให้เราดู คือ.....โปรเจคทำมานานเเล้วไง ใกล้จะเสร็จแล้ว เราก็ไม่สนใจอะไร จนเมื่อวันพุธ Phillipe เมลมาอีกที ยูว่างวันไหน ไอจะ phone call meeting ด้วย 1 ชัวโมง เจี๊ยกกกกกกกก ประชุมอารายยยยยยย จะคุยอะไรกะชั้นนนนน แล้วคุยไรเยอะแยะตั้งชั่วโมงนึงงงงงง
หลังจากนัดวันได้ ก็คุยกะ Phillipe ตอนสี่โมงเย็นประเทศไทย คุยถึงห้าโมงสี่สิบ (ไหนบอกชั้น ชั่วโมงเดียวไงยะ) ตอนเเรกเรานึกว่าเฮียชื่อฟิลลิป แต่เฮียแกชื่อ ฟิลลิเป้ ค่ะ (ภาษาฝรั่งเศสนี่เนอะ) แกก็อธิบายโปรเจคให้ฟัง ถามความคาดหวังเรานิดหน่อย (ซึ่งเราก็ไม่รู้จะตอบว่าไง ฮือๆ) แล้วแกก็ถามว่า จะว่าอะไรมั้ย ถ้าไอจะเชิญยูมาเป็น task force ของโปรเจคนี้ด้วยในฐานะที่เป็นไอเดียของยู .............สมองกลวงๆของเราใช้เวลาประมวลผลเล็กน้อย จะตอบว่า ไม่ ได้ไงวะ สถานการณ์อย่างงี้มันก็ต้องตอบว่า โอเค ดิ ก็เลยตอบตกลงไป Phillipe เลยบอกว่า เราจะมี vdo conference กันทุกเดือน เดือนละสองครั้ง VDO CONFERENCE !!!!!!! ตายๆๆๆๆ ตายแน่ๆ เเค่โทรสับชั้นยังเครียดขนาดนี้เลย เเต่พอดีรอบหน้าที่เค้ามีทติ้งกันเราไม่ว่าง Phillipe เลยนัดเราว่า จะโทรมาอัพเดทให้เราฟังเเทน (สงสัยถ้ารอบไหนเราเข้าไม่ได้ แกต้องโทรมาตลอดเเน่เลย T_T) ไม่น่าได้รางวัลเลยตู
จริงๆมันก็ดีนะ ได้รางวัลเนี่ย คนรู้จักทั่วโลกเลย ได้ทำงานใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ แต่มันก็ตามมาด้วยความเหนื่อย เหนื่อยใจ เพราะเราไม่ถนัดภาษา (ถึงแม้จะทำงานกะต่างชาติมาสองปีกว่าเเล้วก็เหอะ) เหนื่อยกาย เพราะต้องใช้เวลางานมาทำส่วนนี้เพิ่ม แต่ก็จะพยายามละกัน lucky in game แล้ว ขอ lucky in love ด้วยเถอะ !!!!
ความเซ็ง 1 สำเนียงฝรั่งเศสฟังยากอ่ะ บางคำออกเสียงไม่เหมือนเรา ตัว I เค้าอ่านออกเสียงว่า อี พอคุยเรื่องระบบ หรือดาต้าเบส เราเลยฟังเค้าไม่รู้เรื่อง คืนนั้นกลับไปบ้าน ฝันเป็นภาษาอังกฤษ หลอนมากกกก
ความเซ็ง 2 พอเศรษฐกิจแย่ หุ้นมันตกอ่ะ ตอนได้รางวัลมันเหลือแค่ 25 ยูโรเอง (แต่ตอนนี้ขึ้นมา 30 แล้ว) หุ้นของเราเลยยังคงนอนนิ่งอยู่ในตลาดหุ้น รอวันหุ้นขึ้น
บอกตามตรงว่าเราก็ไม่มีความคิดจะส่งไอเดียประกวดอะไรหรอก แต่....หัวหน้า assign ค่ะ เพราะแผนกที่เราทำงานน่ะ เป็นแผนกที่ต้อง improve system ต่างๆในบริษัทอยู่เเล้ว แกเลยบอกว่าให้ไปคิดๆดูว่างานที่เราทำ ปัญหาที่เราเจอ ระบบที่บริษัทเราน่าจะปรับปรุงมีอะไรมั้ย ให้ส่งอย่างน้อยคนละ 1 ไอเดีย ซึ่ง...เราก็คิดๆๆ ออกมา 1 ไอเดีย เเบบว่ามันเป็นไอเดียจริงๆนะ ไอเดียแบบดูเลื่อนลอยหน่อยๆ เราเสนอไปว่า อยากให้มี database สำหรับ share best practice ต่างๆทั้ง group เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ไม่เกิดซ้ำใน operaton center อื่น เเละช่วยลดเวลาในการแก้ปัญหา ส่งไปก็ไม่หวังอะไร เพราะถ้าไม่โดนสั่งให้ส่งก็คงไม่ส่งหรอก ปรากฎว่า ได้รางวัล อ่ะ
หลังจากได้รางวัล ชีวิตก็เหนื่อยขึ้น เริ่มจากต้องมานั่งเขียนบทความสั้นๆ เกี่ยวกับไอเดียของเราลงในวารสารของบริษัท (แล้วภาษาอังกฤษอีชั้นก็อ่อนแอเหลือเกิน ต้องให้หัวหน้ามาช่วยเกลาก่อนส่ง) หลังจากนั้นก็ต้องมานั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับหุ้นที่ได้ ทั้งเรื่องผลประโยชน์ condition ต่างๆ ที่สำคัญ ที่ปารีสดันใส่คำนำหน้าชื่อเราเป็น Mr. ทำให้เราต้องติดต่อกลับไปเพื่อให้ทางธนาคาร(ฝรั่งเศส) ที่จัดการเรื่องหุ้นเค้าเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อเราเป็น Ms. เราไม่รู้ว่าความผิดใคร ทำให้ชื่อเรากลายเป็นผู้ชาย แต่หลังจากนั้นก็มีการของให้เราเขียนบทความ เรื่อง เทศกาลสงกรานต์ เพื่อลงในวารสารของบริษัท (เพื่อเป็นการขอโทษที่ใส่ชื่อเราเป็นผู้ชาย) อยากบอกว่า....ไม่ต้องขอโทษก็ได้้้ ถ้าการขอโทษคือการเพิ่มงานให้เราเนี่ย ฮือๆ อย่างที่บอกไม่เก่งอังกฤษนะ ต้องมาเขียนบทความอีก เซ็ง
ความเหนืื่อยยังไม่จบสิ้น เมื่อเดือนที่เเล้วทางปารีสเมลมาบอกว่า ไอเดียของเราน่ะ เค้าทำออกมาเเล้วนะ ชื่อโปรเจค KM (ชื่อย่อนะ) เดี๋ยว project leader ชื่อคุณ Phillipe จะติดต่อเรามาอีกที หลังจากนั้น Phillipe ก็เมลมา แนะนำตัว ไอดีใจมากที่รู้ว่าโปรเจคนี้ initiate มาจากไอเดียยู บลา บลา บลา แล้วก็ส่งลิงก์ของโปรเจคนี้มาให้เราดู คือ.....โปรเจคทำมานานเเล้วไง ใกล้จะเสร็จแล้ว เราก็ไม่สนใจอะไร จนเมื่อวันพุธ Phillipe เมลมาอีกที ยูว่างวันไหน ไอจะ phone call meeting ด้วย 1 ชัวโมง เจี๊ยกกกกกกกก ประชุมอารายยยยยยย จะคุยอะไรกะชั้นนนนน แล้วคุยไรเยอะแยะตั้งชั่วโมงนึงงงงงง
หลังจากนัดวันได้ ก็คุยกะ Phillipe ตอนสี่โมงเย็นประเทศไทย คุยถึงห้าโมงสี่สิบ (ไหนบอกชั้น ชั่วโมงเดียวไงยะ) ตอนเเรกเรานึกว่าเฮียชื่อฟิลลิป แต่เฮียแกชื่อ ฟิลลิเป้ ค่ะ (ภาษาฝรั่งเศสนี่เนอะ) แกก็อธิบายโปรเจคให้ฟัง ถามความคาดหวังเรานิดหน่อย (ซึ่งเราก็ไม่รู้จะตอบว่าไง ฮือๆ) แล้วแกก็ถามว่า จะว่าอะไรมั้ย ถ้าไอจะเชิญยูมาเป็น task force ของโปรเจคนี้ด้วยในฐานะที่เป็นไอเดียของยู .............สมองกลวงๆของเราใช้เวลาประมวลผลเล็กน้อย จะตอบว่า ไม่ ได้ไงวะ สถานการณ์อย่างงี้มันก็ต้องตอบว่า โอเค ดิ ก็เลยตอบตกลงไป Phillipe เลยบอกว่า เราจะมี vdo conference กันทุกเดือน เดือนละสองครั้ง VDO CONFERENCE !!!!!!! ตายๆๆๆๆ ตายแน่ๆ เเค่โทรสับชั้นยังเครียดขนาดนี้เลย เเต่พอดีรอบหน้าที่เค้ามีทติ้งกันเราไม่ว่าง Phillipe เลยนัดเราว่า จะโทรมาอัพเดทให้เราฟังเเทน (สงสัยถ้ารอบไหนเราเข้าไม่ได้ แกต้องโทรมาตลอดเเน่เลย T_T) ไม่น่าได้รางวัลเลยตู
จริงๆมันก็ดีนะ ได้รางวัลเนี่ย คนรู้จักทั่วโลกเลย ได้ทำงานใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ แต่มันก็ตามมาด้วยความเหนื่อย เหนื่อยใจ เพราะเราไม่ถนัดภาษา (ถึงแม้จะทำงานกะต่างชาติมาสองปีกว่าเเล้วก็เหอะ) เหนื่อยกาย เพราะต้องใช้เวลางานมาทำส่วนนี้เพิ่ม แต่ก็จะพยายามละกัน lucky in game แล้ว ขอ lucky in love ด้วยเถอะ !!!!
ความเซ็ง 1 สำเนียงฝรั่งเศสฟังยากอ่ะ บางคำออกเสียงไม่เหมือนเรา ตัว I เค้าอ่านออกเสียงว่า อี พอคุยเรื่องระบบ หรือดาต้าเบส เราเลยฟังเค้าไม่รู้เรื่อง คืนนั้นกลับไปบ้าน ฝันเป็นภาษาอังกฤษ หลอนมากกกก
ความเซ็ง 2 พอเศรษฐกิจแย่ หุ้นมันตกอ่ะ ตอนได้รางวัลมันเหลือแค่ 25 ยูโรเอง (แต่ตอนนี้ขึ้นมา 30 แล้ว) หุ้นของเราเลยยังคงนอนนิ่งอยู่ในตลาดหุ้น รอวันหุ้นขึ้น
Monday, May 11, 2009
Fighting with my mac
หลังจากวิกฤติการณ์คอมฯพัง (desktop ที่บ้านน๊อก เปิดไม่ติด, laptop มรดกที่ได้รับจากพี่ชายกำลังจะสิ้นชีพเกินเยียวยา) เราก็ตัดสินใจซื้อ laptop เป็นของตัวเอง จากการที่ใช้ ipod อยู่แล้ว และค่อนข้างประทับใจบริการของน้องแอปเปิ้ล เราก็เลยต้ดสินใจผันตัวเข้าสู่ลัทธิแอปเปิ้ล ซื้อ macbook มาใช้ ก่อนซื้อก็ศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดีนะ เพราะกลัวว่าเอาไฟล์งานมาเปิดหรือแก้จะมีปัญหา แต่พอรู้ว่ามันไม่มีปัญหาก็โอเค ถอยมาเลย ตั้งแต่เดือนกุมภา
ด้วยความไม่คุ้นเคยก็ทะเลาะกับ mac ตัวนี้หลายรอบ เริ่มตั้งแต่ เปิดโน่นเปิดนี่ไม่เป็น (ก็มันไม่คุ้นอ่ะ) ดึงไฟล์เพลงจากไอพอดลงเครื่องไม่ได้ (อันนี้สันนิษฐานว่าเราลงโปรแกรมไม่สมบูรณ์ แต่พอลงโปรแกรมใหม่ หาไอพอดเครื่องเดิมไม่เจอ เลยยังไม่ได้ดึงไฟล์อีกรอบ) อัพบล๊อคตัวเองไม่ได้ (จริงๆได้ แต่มันจัด layout ไม่ได้เลย) ข้อนี้แก้ปัญหาโดยการ ใช้ firefox แทน safari แต่ทะเลาะกันเรื่องล่าสุดนี่สร้างความเซ็งเป็นอย่างมาก นั่นคือ....ไฟล์ word ที่เราเอามาจากที่ทำงาน บางไฟล์ (เน้นว่าบางไฟล์) เราไม่สามารถแก้ไขแล้วเซฟมันได้ เวลาเซฟมันจะขึ้นว่า out of memory or disk space ตลอด วันนี้เลยยกเครื่องไปที่ istudio พนักงานน่ารักมากๆ ช่วยกันแก้ปัญหาให้เรา แต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องโทรเข้าศูนย์ใหญ่ แก้ไปแก้มา ....สรุปว่า มันเป็นความไม่สมบูรณ์ของโปรแกรมเวอร์ชั่นนี้ ทำไรไม่ได้ คงต้องใช้โปรแกรมอื่นอย่าง iwork ทำงานแทน
เฮ้อ........เซ็ง แต่ยังดี เพราะมันไม่ได้เป็นทุกไฟล์อ่ะ เป็นแค่บางไฟล์ ซึ่งไม่แน่อาจจะเป็นที่ไฟล์ไม่ใช่โปรแกรม เพราะไฟล์งานเซ็ทนี้เซฟไม่ได้ยกชุดอ่ะ เราก็คงลองหาทางอื่นต่อไป หวังว่าเราจะไม่มีปัญหากันอีกนะ น้อง mac จ๋า
ด้วยความไม่คุ้นเคยก็ทะเลาะกับ mac ตัวนี้หลายรอบ เริ่มตั้งแต่ เปิดโน่นเปิดนี่ไม่เป็น (ก็มันไม่คุ้นอ่ะ) ดึงไฟล์เพลงจากไอพอดลงเครื่องไม่ได้ (อันนี้สันนิษฐานว่าเราลงโปรแกรมไม่สมบูรณ์ แต่พอลงโปรแกรมใหม่ หาไอพอดเครื่องเดิมไม่เจอ เลยยังไม่ได้ดึงไฟล์อีกรอบ) อัพบล๊อคตัวเองไม่ได้ (จริงๆได้ แต่มันจัด layout ไม่ได้เลย) ข้อนี้แก้ปัญหาโดยการ ใช้ firefox แทน safari แต่ทะเลาะกันเรื่องล่าสุดนี่สร้างความเซ็งเป็นอย่างมาก นั่นคือ....ไฟล์ word ที่เราเอามาจากที่ทำงาน บางไฟล์ (เน้นว่าบางไฟล์) เราไม่สามารถแก้ไขแล้วเซฟมันได้ เวลาเซฟมันจะขึ้นว่า out of memory or disk space ตลอด วันนี้เลยยกเครื่องไปที่ istudio พนักงานน่ารักมากๆ ช่วยกันแก้ปัญหาให้เรา แต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องโทรเข้าศูนย์ใหญ่ แก้ไปแก้มา ....สรุปว่า มันเป็นความไม่สมบูรณ์ของโปรแกรมเวอร์ชั่นนี้ ทำไรไม่ได้ คงต้องใช้โปรแกรมอื่นอย่าง iwork ทำงานแทน
เฮ้อ........เซ็ง แต่ยังดี เพราะมันไม่ได้เป็นทุกไฟล์อ่ะ เป็นแค่บางไฟล์ ซึ่งไม่แน่อาจจะเป็นที่ไฟล์ไม่ใช่โปรแกรม เพราะไฟล์งานเซ็ทนี้เซฟไม่ได้ยกชุดอ่ะ เราก็คงลองหาทางอื่นต่อไป หวังว่าเราจะไม่มีปัญหากันอีกนะ น้อง mac จ๋า
Saturday, May 9, 2009
เมื่อบุ๋นไปเป็นนางแบบ Portrait
เอาล่ะ ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เขียนกะเค้าซักที ประเดิมด้วยเรื่องเมื่อวานละกัน
เมื่อวานนี้เป็นวันวิสาขบูชา เราก็ไปสนามหลวงมา เเต่ไม่ได้ไปทำบุญอะไรกะเค้าหรอกนะ ไปเป็นนางแบบถ่ายรูปกับเพื่อนๆเเถวนั้น ที่มาของงานนี้ก็คือ เพื่อนของแอม ซึ่งเป็นชาวหนอน (กล้องแคนอน) ชักชวนเพื่อนๆให้ไปเป็นนางแบบถ่ายภาพ เราก็เลยติดสอยห้อยตามเค้าไปด้วย ตอนเเรกเพื่อนแอมบอกว่าตากล้องประมาณ 5 คน เราก็คิดว่าเป็นตากล้องมือใหม่ กำลังหัดถ่าย เหมือนตอนที่ไปเป็นแบบให้เจมส์กับศาสตรา แต่พอไปจริงๆแล้วไม่ใช่ มีตากล้อง 12 คน !!!! ซึ่งทุกคนเป็นสมาชิกชมรมแคนอนในห้องกล้องพันทิบอ่ะ เห็นอุปกรณ์น้าๆแต่ละคนแล้วก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่มือใหม่ เราเคยเป็นแบบ portrait มาบ้างนะ เวลาเป็นแบบมันก็เหนื่อย แต่ไม่เคยเหนื่อยเท่าวันนี้มาก่อนเลย
คิดดูนะ โดนรุมถ่ายโดยตากล้องสิบคน พอมองกล้องนี้ แล้วก็ต้องหันไปมองกล้องที่สอง กล้องที่สาม เพราะทุกกล้องต้องการ eye contact แน่นอน แถมบางกล้องไม่ได้ถ่ายรอบเดียว เราต้องยืนยิ้มหันไปมองกล้องโน้นกล้องนี้ตลอดเวลา ยิ้มจนปากสั่นเลยทีเดียว
นอกจากนั้น บางท่าที่โพสต์ ยังเป็นท่าคุกเข่า หรือยกขาข้างนึง ซึ่งโพสต์นานๆมันเมื่อยนะ แล้วอากาศก็ร้อนมากๆ เรียกว่าโพสต์ท่ากันจนปากสั่น ขาสั่นเลยล่ะ
นับถือพวกนางแบบทริป portrait มืออาชีพนะ คิดดูดิ เราไปเมื่อวานมีนางแบบ 5 คน เรามีเวลาพักช่วงน้าๆเค้าถ่ายคนอื่น เรายังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วพวกทริปที่นางแบบคนเดียวหรือสองคน ถ่ายทั้งเช้าทั้งบ่าย เค้าจะเหนื่อยขนาดไหนเนี่ย
ยังไม่ได้เห็นรูป เพราะต้องรอน้าๆเค้า process รูปก่อน เเล้วเค้าจะส่งมาให้ที่บ้าน รอลุ้นว่ารูปจะออกมาเป็นยังไง แล้วไว้จะเอามาลงให้ชมนะคะ วันนี้เอารูปที่เคยถ่ายมาลงให้ดู 1 รูป อิอิ
เมื่อวานนี้เป็นวันวิสาขบูชา เราก็ไปสนามหลวงมา เเต่ไม่ได้ไปทำบุญอะไรกะเค้าหรอกนะ ไปเป็นนางแบบถ่ายรูปกับเพื่อนๆเเถวนั้น ที่มาของงานนี้ก็คือ เพื่อนของแอม ซึ่งเป็นชาวหนอน (กล้องแคนอน) ชักชวนเพื่อนๆให้ไปเป็นนางแบบถ่ายภาพ เราก็เลยติดสอยห้อยตามเค้าไปด้วย ตอนเเรกเพื่อนแอมบอกว่าตากล้องประมาณ 5 คน เราก็คิดว่าเป็นตากล้องมือใหม่ กำลังหัดถ่าย เหมือนตอนที่ไปเป็นแบบให้เจมส์กับศาสตรา แต่พอไปจริงๆแล้วไม่ใช่ มีตากล้อง 12 คน !!!! ซึ่งทุกคนเป็นสมาชิกชมรมแคนอนในห้องกล้องพันทิบอ่ะ เห็นอุปกรณ์น้าๆแต่ละคนแล้วก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่มือใหม่ เราเคยเป็นแบบ portrait มาบ้างนะ เวลาเป็นแบบมันก็เหนื่อย แต่ไม่เคยเหนื่อยเท่าวันนี้มาก่อนเลย
คิดดูนะ โดนรุมถ่ายโดยตากล้องสิบคน พอมองกล้องนี้ แล้วก็ต้องหันไปมองกล้องที่สอง กล้องที่สาม เพราะทุกกล้องต้องการ eye contact แน่นอน แถมบางกล้องไม่ได้ถ่ายรอบเดียว เราต้องยืนยิ้มหันไปมองกล้องโน้นกล้องนี้ตลอดเวลา ยิ้มจนปากสั่นเลยทีเดียว
นอกจากนั้น บางท่าที่โพสต์ ยังเป็นท่าคุกเข่า หรือยกขาข้างนึง ซึ่งโพสต์นานๆมันเมื่อยนะ แล้วอากาศก็ร้อนมากๆ เรียกว่าโพสต์ท่ากันจนปากสั่น ขาสั่นเลยล่ะ
นับถือพวกนางแบบทริป portrait มืออาชีพนะ คิดดูดิ เราไปเมื่อวานมีนางแบบ 5 คน เรามีเวลาพักช่วงน้าๆเค้าถ่ายคนอื่น เรายังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วพวกทริปที่นางแบบคนเดียวหรือสองคน ถ่ายทั้งเช้าทั้งบ่าย เค้าจะเหนื่อยขนาดไหนเนี่ย
ยังไม่ได้เห็นรูป เพราะต้องรอน้าๆเค้า process รูปก่อน เเล้วเค้าจะส่งมาให้ที่บ้าน รอลุ้นว่ารูปจะออกมาเป็นยังไง แล้วไว้จะเอามาลงให้ชมนะคะ วันนี้เอารูปที่เคยถ่ายมาลงให้ดู 1 รูป อิอิ
Saturday, February 21, 2009
Test test test
เพิ่งสมัคร blogger ค่ะ ตั้งใจว่าจะเขียน blog เป็นจริงเป็นจังซักอันนึง จริงๆเเล้วเรามี blog อยู่หลายอันนะ เเต่อัพเดทบ้าง ไม่อัพเดทบ้างตามอารมณ์ มีหลายอันก็วุ่นวาย ลองเน้นๆซักอันไปเลยน่าจะดีกว่า ตั้งใจจะลงหลักปักฐานที่นี่เเหละ ลองดูซักตั้ง
ป.ล. หน้าตาบ้านนี้ยังไม่เรียบร้อยนะคะ ไว้จะค่อยๆแต่งไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังทำอะไรไม่เป็นอ่ะ
Subscribe to:
Posts (Atom)