พอเขียนตอนนี้ ก็เพิ่งนึกได้ว่า JRP วันที่ 3 ไม่ได้เขียนนี่หว่า เหอๆๆๆ วันที่ 3 หายไปไหน ที่หายไปก้เพราะว่าเราไม่ชอบที่เรียนเอาซะเลย น่าเบื่อ ไม่เห็นได้ประโยชน์กับชีวิต วันที่ 3 เรียนเรื่องทักษะการพูดและการสื่อสาร ซึ่งอาจารย์เค้าจะถามปัญหาของเเต่ละคนว่าเป็นยังไง พร้อมสอนให้แก้ ซึ่งปัญหาของคนในคลาสจะเป็น ไม่กล้าพูดหน้าห้อง ไม่กล้าพรีเซนต์งาน พูดเสียงเบา พูดเร็ว เสียงไม่หนักแน่น ไม่สบตาคน บลาๆๆ คือเหมือนกับว่า สอนให้กล้า ให้มั่นใจ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สำหรับเรื่องการพูดและการสื่อสาร เราต้องการเรียนรู้เทคนิคการพูดมากกว่า เช่น ถ้ามีคนถามคำถามที่ตอบไม่ได้ ควรจะทำอย่างไร ถ้าต้องอธิบายแล้วคนไม่ฟัง ไม่เชื่อ จะทำยังไง บลาๆๆ ซึ่งมันคงจะแอดวานซ์เกินไป JRP เค้าสอนเรื่อง personality ไม่ได้สอนเรื่อง presentation skill นี่เนอะ
เอาล่ะ เข้าเรื่องวันที่ 4 ดีกว่า เป็นวันที่สนุกมากๆ ตอนเช้าเรียนเรื่องอิริยาบทต่อ ซึ่งวันนี้สอนเรื่องการนั่ง มีทบทวนของเดิมนิดหน่อย ให้ลองเดินลองยืน ซึ่ง...ดิชั้นก็ได้รับคำชมจากอาจารย์นะคะ ว่าเดินได้ดีแล้ว (บอกเเล้วว่าตูทำได้) แต่พออาจารย์สอนเรื่องเข้าพบผู้ใหญ่ มีปัญหานิดหน่อย ว่าดิชั้นย่อขาเวลาไหว้ (เหมือนเด็กๆ หวัดดีคุณครู) ซึ่งอาจารย์บอกว่าไม่จำเป็นต้องย่อ แค่โน้มตัวและก้มหัวก็พอ หลังจากนั้น อาจารย์สอนเดินขึ้นลงบันได (ซึ่งข้าเจ้าก็ทำได้อยู่เเล้ว) และปิดท้ายด้วยการขึ้นลงรถ เราชอบอาจารย์คนนี้สอนมากๆ เลย แกจะให้เราลองทำเอง อย่างที่เราจะเป็นก่อน แล้วค่อยสอนว่าดีไม่ดีตรงไหน ซึ่งมันทำให้เรารู้ข้อบกพร่อง ได้ดีกว่า สอนก่อนแล้วให้ทำตาม เรื่องขึ้นลงรถ อาจารย์ให้ทำทีละคน เเล้วค่อยสอนว่าขึ้นลงรถที่ถูกควรทำท่าไหน ซึ่ง....มีดิชั้นทำถูกคนเดียวโดยที่อาจารย์ยังไม่ได้สอน ได้รับเสียงตรบมือจากเพื่อนๆทุกคน (อย่างที่บอก ตอนที่แล้ว เรื่องท่าทางน่ะ รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพียงเเต่ปกติไม่ได้ออกสังคม ไปไหนมาไหนกะแฟนชั้นไม่ทำเองต่างหาก)
ตอนจบอาจารย์คุยกะเราบอกว่าเราบุคลิกดีอยู่แล้ว ประกวดพวกนางแบบได้เลยแค่ปรับลุคนิดหน่อย เพราะเราดูเป็นผู้หญิงห้าว (อาจารย์เค้าเป็นคนสอนนางแบบ นางงาม และบางครั้งเป็นกรรมการ) ยิ่งตอกย้ำว่า เห็นมั้ยๆ ชั้นน่ะไม่ได้แย่ซักหน่อย เชอะ (สรุปเรามาเรียนเพื่อไรฟะเนี่ย สิ่งที่ตั้งใจมาเรียน ตูก็ทำได้อยู่แล้วนี่หว่า)
เราชอบอาจารย์ที่สอนอิริยาบทวันนี้ มากกว่าวันแรก อาจเป็นเพราะวิธีการสอน และคำแนะนำ วันนี้ได้ความรู้เพิ่มเติมด้วยล่ะ เช่นถ้าเราจะนั่งเบาะหลังรถสองประตูต้องทำยังไง (อันนี้ไม่เคยรู้มาก่อน) การวางเท้าหลายๆแบบตอนนั่ง (เพราะเรารู้แค่สองแบบ) หรือ ถ้าใส่รองเท้าเปิดนิ้วควรจะทาเล็บเท้าด้วย
ช่วงบ่าย เรียนพัฒนาบุคลิกภาพภายใน ก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา อาจารย์ที่สอนก็เป็นดอกเตอร์ (น่าจะเป็นด้านจิตวิทยานะ) ก็จะสอนเรื่องการเปลี่ยน เจตคติ สอนเรื่องหลักการคิด I'm OK You're OK ให้เรามองโลกในแง่บวก เราได้เเนวคิดแล้วมุมมองอะไรหลายอย่างมาก จากคลาสนี้ เเละเราว่าอาจารย์ ปิดท้ายได้ดี อาจารย์ให้ดูรูปข้างล่างนี้แล้วถามว่ามันเป็นรูปอะไร
แน่นอน ทั้งห้องบอกว่า รูปแรกเป็นสามเหลี่ยม รูปที่สองเป็นสี่เหลี่ยม อาจารย์บอกว่า มันเป็นสามเหลี่ยม กับ สี่เหลี่ยม จริงๆเหรอ คำนิยามของสามเหลี่ยม คือเส้นตรงสามเส้นมาบรรจบกันและทำมุมรวม 180 องศา (จำคำเป๊ะๆไม่ได้ แต่อารมณ์ประมาณนี้) ส่วนสี่เหลี่ยม ก็คือเส้นตรงสี่เส้นประชิดกัน มุมรวม 360 องศา ไม่ใช่หรือ
ที่เรามองเห็นเป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ก็เพราะเรามองจากภาพรวม เปรียบได้กับเรื่องการมองคน เราอย่ามองคนด้านเดียวว่าเค้าดีหรือไม่ดี หรือเค้าเป็นคนยังไง แต่เราต้องมองภาพรวม ว่าโดยรวมแล้วเค้าเป็นอย่างไร อาจจะมีบางจุดที่มันไม่ใช่ แต่ถ้าโดยรวมเเล้วเค้าโอเค เราก็ถือว่าเค้าโอเค เพราะไม่มีใครเพอร์เฟคไปซะหมด แต่ถ้ายังไงๆเราก็รู้สึกว่าไม่ใช่มันฝืนทัศนคติเรา มันไม่เป็นอย่างที่เราเชื่อ เพราะสามเหลี่ยมยังไงๆก็ต้องเป็นเส้นตรง เอาเป็นวงกลมมาต่อกันแบบนี้ไม่ได้ เราก็อาจจะต้องหาทางออก เช่น ไปหาคนอื่นเเทน ปรับเปลี่ยนเค้า ฯลฯ ..... เเละมีอีกหลายๆเรื่องที่เราชอบที่อาจารย์พูด เเต่ที่ประทับใจที่สุดคืออันนี้แหละ
แล้วตกลงเวลาขึ้นรถต้องทำไงอ่ะ?
ReplyDelete