Friday, December 31, 2010

ความทรงจำ 7 ปี

7 ปี ผ่านไป แต่ความรู้สึกที่มีให้ยังเหมือนเดิมนะคะ


Sunday, December 26, 2010

กลับมาเล่นเน็ตได้แล้วเย๊

ที่เราหายหน้าไปนานนนนน (สองเดือนได้) ก็เพราะว่าเน็ตที่บ้านมันด๋อย และเราไม่มีเวลาจัดการ (ก็ออกบ้านทุกเสาร์อาทิตย์อ่ะ ไม่มีเวลาอยู่บ้านให้ช่างเค้ามาดูสายโทรศัพท์) เริ่มจากเน็ตมันหลุดบ่อย เล่นครึ่งชั่วโมงก็หลุด หรือไม่ก็อยู่ดีๆ สปีดก็อืดขึ้นมาซะเฉยๆ ต้องเปิดปิด router กันบ่อยๆ เราก็โทรไปหาศูนย์ทรู เค้าก็บอกว่าเราเปิด router ไว้ทั้งวันทั้งคืน เครื่องมันร้อน ต้องพักเครื่องบ้าง เราก็ทำนะ แต่หลังๆนี่ขนาดถอดปลั๊กไปเป็นวันๆ ก็ยังเล่นไม่ได้เลย มันไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต พี่แบงก์เลยโทรไปทรู เค้าบอกว่าเราเอา router มาติดเอง ไม่ใช่ router ของทรุมันเลยมีปัญหา (จริงๆเราไม่ค่อยเห็นด้วยกะทรูหรอกนะ Router ยี่ห้อไหนมันก็ควรเล่นได้เหมือนกันซิ เเต่ว่า router ตัวนี้ก็สามสี่ปีละ มันอาจจะเสียแล้วจริงๆ เรากับพี่ก็เลยไปซื้อ router ตัวใหม่ของทรูมา มันจะได้ไม่หาว่าเน็ตเล่นไม่ได้เพราะไม่ใช้ router ของทรู)

พอเอาrouter ใหม่มาใช้มันก็ยังเล่นไม่ได้อยู่ดี พอโทรไปศูนย์ อธิบายให้ฟังว่า router ก็ใหม่แล้วนะ ของทรูด้วย แต่ไฟ DSL ก็ยังไม่ติด ศูนย์ถึงยอมส่งช่างเข้ามาดูเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พอช่างมาดูเค้าบอกว่า "ปกติต่อกับโมเด็มได้ตัวเดียวนะครับ ต่อโมเด็มสองตัวแบบนี้ไม่ได้ โมเด็มอีกตัวอยู่ที่ไหนครับ" ............ ฟังเอาอึ้งไปเลย "ก็มีตัวนี้ตัวเดียวนี่แหละ สายทรูเข้าบ้านตรงนี้ ก็จิ้มตรงนี้เลย โมเด็มอีกตัวไม่มีหรอกค่ะ" ช่างเค้าบอกว่ามันมีโมเด็มที่ connect อยู่ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวเค้าลองเข็คดู ว่าแล้วช่างก็หายไป ออกไปที่ box ชุมสายของทรู หายไปนานเหมือนกัน พอกลับมาใหม่เค้าถามว่าเล่นเน็ตได้รึยัง ปรากฏว่าเล่นได้เเล้ว เย๊๊ แต่คุณช่างยังบอกต่อว่า สายทรูบ้านเรามันเสียด้วย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าให้ช่างมาเดินสายให้ใหม่

ณ.วันนี้เล่นเน็ตได้ทุกอย่าง สายก็เปลี่ยนเรียบร้อย แต่ก็ยังคงงงๆกับคำที่ช่างบอกว่า โมเด็มอีกตัวอยู่ที่ไหน มันหมายความว่าบ้านชั้นโดนจัมป์สายไปเล่นเน็ตเหรอฟะ งงอ่ะ (เเต่ไม่รู้จะถามใคร เพราะวันนั้นช่างคุยกะพ่อ เพราะดิชั้นไปเยี่ยมเพื่อนแอมที่โรงบาล แล้วพ่อไม่ได้ถามกลับว่าตกลงที่เล่นไม่ได้นี่เกิดจากอะไร)

แต่เอาเหอะ เล่นได้ก็โอเคแล้ว ดีใจๆ

Monday, November 8, 2010

งานที่มั่นคง มันหมายถึงอะไรกันแน่

ทำงานมาสามปีกว่า จริงๆก็เป็นช่างที่เหมาะสมในการหางานใหม่ เพื่ออัพเงินเดือน อัพตำแหน่ง เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม บลา ๆๆ แต่...เราก็ยังคงไม่ได้หางานที่ไหน ยังคงอยู่ตรงนี้ (ขี้เกียจอ่ะ งานที่นี่ก็ดีนะ สวัสดิการก็โอเค เพื่อนร่วมงานก็น่ารัก หัวหน้าก็ดี งานก็ไม่กดดันเท่าไหร่ แล้วเรายังต้องการอะไรอีก)

เราก็เรื่อยๆเฉื่อยๆไปอ่ะ ไม่หางานใหม่ซักที วันเสาร์ที่ผ่านมาคุณแม่ปรินต์โฆษณา career day ของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งมาให้ บอกว่าให้ลองไปสมัครดู แม่เคยพูดหลายทีแล้วว่าอยากให้เราทำงานในบริษัทที่มั่นคงกว่านี้......

คำว่าบริษัท หรือ งานที่มั่นคง มันคืออะไรกันแน่ คือบริษัทใหญ่ๆ มีชื่อเสียง พูดชื่อมาแล้วคนร้อง อ๋อ อย่างงี้น่ะเหรอ หรือหมายถึงว่าบริษัทที่ไม่ล้มละลาย ปิดกิจการหายไป หรืออยู่ดีๆก็เลิกจ้าง (ถ้าเคสนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทใหญ่เสมอไป) หรือหมายถึงว่าเงินเดือนเยอะๆ สวัสดิการดีๆ เดี๋ยวนี้มันก็หายากนะ เราว่า

งานเรา..... เราก็ว่ามั่นคงนะ เงินเดือนเราก็ปานกลาง ไม่ได้สูงมาก แต่เราก็โอเค (แต่ถ้าขึ้นอีกเรื่อยๆก็ดี) หน้าที่การงานเราก็ดี คนในบริษัทยอมรับ (หลงตัวเองไปป่าววะเรา) สวัสดิการก็โอเคกว่าอีกหลายๆบริษัท

พูดยากจัง ก็เข้าใจว่าแม่เป็นห่วง อยากให้เรามีอนาคตที่มั่นคง (= เติบโตไปกับบริษัทใหญ่ๆ) แต่...เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเป็นอะไรขนาดนั้น แง่มๆ ถ้าไม่ขี้เกียจจะลองไปสมัครดูนะคะ แม่ขา

Wednesday, November 3, 2010

all about JUMP




รูปที่ไปเที่ยวสวนผึ้งมา กระโดดกันซะเมื่อยเลย ก้เลยทำเป็นไฟล์ Gif ซะเลย น่ารักดี สีอาจจะทึมๆไปหน่อย เพราะกล้องคนอื่นอ่ะ เราเลยไม่อยากแต่งสี ส่วนภาพแบบ jpeg ของทริปนี้ ไปดูได้ในเฟสบุคเราและของเพื่อนๆ (tag กันกระจาย)
















Tuesday, November 2, 2010

มุมมองของเรา กับ กิจกรรมเพื่อสังคม

เราเพิ่งไปทริปกับชมรม charity ของที่บริษัทมา ไปสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี เลี้ยงอาหารกลางวันและเอาของเล่นไปบริจาค จากนั้นก็ไปเที่ยวสวนผึ้งต่อ(ค้างหนึ่งคืน) ก่อนไปเราก็วาดภาพในหัวเอาไว้ว่ากิจกรรมแบบนี้นะ ต้องมีเสิร์ฟอาหาร ป้อนข้าวเด็ก พูดคุยและเล่นกะเด็ก บลาๆๆ scheduleของทริปส่งมาตอนวันพฤหัส เห็นแล้วก็อึ้งๆ

ึ7 โมงวันเสาร์ ออกจากออฟฟิศ
9 โมง (มั้ง) เที่ยวที่ XXX (ขอไม่เอ่ยสถานที่)
11 โมง เลี้ยงอาหารกลางวันเด็กที่สถานสงเคราะห์
เที่ยง ออกจากสถานสงเคราะห์ไปสวนผึ้ง
13.00 เช็คอินที่สวนผึ้งจากนั้นก็เที่ยวโน่นนี่นั้น แถวๆสวนผึ้ง
วันรุ่งขึ้น,,,เที่ยวโน่นนี่นั่น กลับถึงออฟฟิศตอนเย็น

ทริปนี้เบ็ดเสร็จอยู่สถานสงเคราะห์แค่หนึ่งชั่วโมง คนไปประมาณ 60 คน แต่ถึงสถานสงเคราะห์ มีไม่ถึงสิบคนเลยมั้ง ที่เดินเข้าไปคุยกะเด็ก เอาของไปให้เด็ก (หนึ่งในนั้นคือเรา) อีกประมาณสิบคนช่วยกันทำไอติมแล้วเดินแจก (เราทำไอติมส่ายกัน ไอ้ที่ขายแท่งละสองบาทตามจตุจักรน่ะ) นอกนั้น ยืนอยู่รอบนอก คุยกัน ถ่ายรูปกัน แต่พอเรียกถ่ายรูปรวมกับป้ายชมรมว่ามาบริจาคของ เลี้ยงอาหารกลางวัน ไปเข้าร่วมเฟรมถ่ายกันให้พรึ่บ

เราไม่ชอบเลยการกระทำแบบนี้ ยอมรับว่าพวก head ของชมรมน่ะ มีใจรักจริง มาบริจาคของจริง เล่นกะเด็กจริง แต่พวกที่เหลือเนี่ย.... ไมู่้ซิ เรารู้สึกว่าถ้าจัดทริปมาแล้วเป็นอย่างงี้ บอกว่าจัดทริปเที่ยวไปเลยน่าจะดีกว่า ใจพวกคุณน่ะแค่อยากมาเที่ยวนี่ ไม่ได้มาทำกิจกรรมเลยอ่ะ (แถมช่วงกิจกรรมก็น้อยไปหน่อย แต่ไม่ว่ากันนะ เพราะhead อาจจะเล็งเเล้วว่าอย่างงี้เหมาะแล้วกับบริษัทเรา)



เราชอบช่วยเหลือคนนะ แต่เราไม่ชอบเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นประเภทว่ามีคนมาชวนก็จะไปมากกว่า ฉะนั้นจึงไม่มีความคิดที่จะเข้าไปร่วมกับ head ในการคิดอะไร เราแค่มีความสุขกับการทำกิจกรรมแบบนี้ก็พอ เราก็แฮปปี้เวลาไปช่วยงานพัฒน์นะ (ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่คิดว่าเราชอบงานแบบนี้ก็ตาม) พอไปทำมาหลายๆงาน (ทั้งานของพัฒน์ งานของชมรม งานของแผนก งานของเพื่อนๆที่เราไปช่วย) โดยรวมเราชอบงานที่ลงแรงอ่ะ ไอ้งานที่เพิ่งไปเนี่ย ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะเหมือนลงแต่เงินมากกว่า ซื้อของ สั่งข้าวไปเลี้ยง แล้วก็ไปยืนๆดู มันยังไงไม่รู้ เราไม่ชอบ


โลกนี้ไม้มีอะไรเพอร์เฟค จะให้อะไรถูกใจเราหมดก็คงจะไม่ได้ ก็เข้าใจนะ ไม่ได้อึดอัดอะไรมาก ก็เเค่อยากระบายสิ่งที่คิด ที่รู้สึกออกมา (เพราะว่าพูดกะที่ทำงานก็คงไม่ได้)

Monday, September 20, 2010

ความภูมิใจเล็กๆของคนเขียนบล๊อก

อย่างที่รู้....เราเขียนบลีอกท่องเที่ยวกับร้านอาหารไว้ในมัลติพลาย

วันดีคืนดีก็จะมีคนที่ผ่านเข้ามา สอบถามข้อมูลเรื่องเที่ยวหรือร้านอาหารบ้างประปราย

บางครั้งก็มีเพื่อนๆกันนี่แหละ มาเล่าว่า ชั้นหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ พอ search google ก็เจอบล๊อกของแก


เราไม่ใช่คนดัง เขียนหนังสือก็ไม่เก่ง แต่ก็ดีใจที่สิ่งที่เราเขียนมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่มากก็น้อย

วันนี้เป็นอีกวันที่ลอง search user name ตัวเองใน google ดู แล้วก็พบว่า.........



รูปเล็กไปหน่อยแฮะ เอาง่ายๆก็คือ มีคนมาอ่านแล้วเอาลิงก์เว็บเราไปลงพันทิบ แนะนำที่พักและร้านอาหารของคนไทยในเวนิส

แอบอมยิ้มเล็กๆให้กับตัวเองอีกหนึ่งครั้ง กับความรู้สึกที่ว่า " สิ่งที่เราเขียนมีประโยชน์กับคนอื่นเหมือนกัน "

Sunday, September 5, 2010

JRP วันที่ 10 : การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน ตอนที่ 2

ตอนที่ 1 อาจารย์จะสอนเรื่องให้คิดเชิงบวก ปรับเจตคติของเรา ส่วนวันนี้จะสอนเรื่อง EQ
อาจารย์บอกว่า เดี๋ญวนี้การจะอยู่ในสังคม หรือทำงานได้ดีกว่าคนอื่น นอกจาก IQ แล้ว EQ ก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก

ไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้เลย หรือเพราะเราเรียนวิทย์มา เราเชื่ออะไรที่เป็นตรรกะมากกว่า (เกี่ยวมั้ย)

เริ่มต้นอาจารย์ให้ทำแบบทดสอบ เพื่อบอกว่าเราเป็นอย่างไร โดยคำถามจะเป็นพวก คุณมองภาพในอนาคต และมีเป้าหมายชัดเจน, คุณสามารถคุยกับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากคุณ บลาๆๆๆ โดยให้เลือกตอบ เป็น1-5 คือ ตลอดเวลา ส่วนมาก บางครั้ง น้อยมาก แทบไม่มีเลย จากนั้นก็เขียนออกมาเป็นกราฟ ใน 5 หมวด Self Awareness, Enhance Social, Listen with Head & Heart, Innovation Inspiration, Managing Emotion ซึ่งอาจารย์บอกว่า ห้าตัวนี้คือ หลักของเรื่อง EQ นี่แหละ

ชอบที่อาจารย์สอนตีผลเรื่องนี้ คือ นอกจากจะดูตามสกอร์แล้ว อาจารย์ยังบอกว่า ถ้าเราตอบข้อสาม หรือ บางครั้ง เนี่ยเยอะเกินครึ่ง แสดงว่าเราเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ เป็นประเภทอะไรก็ได้ เออ...ก็ได้เเง่มุมอื่นนอกจากดูผลอย่างเดียว

จากนั้นก็ให้เราคิดข้อดี ข้อเสียของตัวเอง แล้วก็ทำ workshop โดยให้เดินไปหาเพ่ือนๆ เล่าข้อดีของเราให้ฟังอย่างน้อย ห้าข้อ โดยต้องมีเหตุผลประกอบนะ ไม่ใช่ว่า หนูเป็นคนยิ้มง่ายค่ะ จบ ไม่ได้ ต้องอธิบายต่อ เวลาเจอใครหนู่ก็ยิ้ม เพื่อนๆก็บอกว่าเห็นเเล้วอรมณืดี โน่นนี่นั่น อะไรก็ว่าไป อาจารยืบอกว่าเพื่อฝึกให้เรารู้จักตัวเอง รู้สึกดีกับตัวเอง และมองตัวเองในแง่บวก แถมบอกอีกว่าใครที่คิดข้อเสียขอตัวเองได้มากกว่าข้อดี มีแนวโน้มจะเป็นคนมองโลกแง่ร้าย และ EQ ไม่ค่อยจะดี

จากนั้นก็เน้นสอนเรื่องให้มีสติ รู้จักตัวเอง รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ไหน และจะทำอย่างไร ถ้าโกรธก็ต้องหาทางระบายออก เพราะถ้าสะสมนานๆ จะเหมือนระเบิดเวลา อย่าโกรธ หรือเสียใจ แล้วนอนๆ ให้หลับไป ไม่ดี

ให้ดูว่าอารมณืโกรธของเราอยู่ที่ไหน ถ้าโกรธแล้วมือสั่น ก็ให้ไปเล่นกีฬาที่ใช้มือ ถ้าโกรธแล้วปากสั่น ก็ไปร้องเพลง อะไรอย่างงี้ ส่วนคนที่เก็บกด โกรธแล้วร้องไห้ หรือทำอะไรไม่ถ฿กให้หาทางระบาย อาจจะเริ่มจากลองหัดตะโกนเสียงดังๆ ดู (ในเวลาที่ไม่มีคน และไม่รบกวนคนอื่นนะ) แล้วอาจารยืก็ให้เพื่อนสองคนในห้องลองทำดู เพราะสองคนนั้นบอกว่าเค้าเก็บกด เวลาโกรธ ไม่พอใจ จะทำไรไม่ถูก ร้องไห้

จากนั้นอาจารย์ก็ถามเราว่า จะลองมั้ย เราบอกว่าไม่เป็นไร อาจารย์บอกว่า น่าจะฝึกไว้นะ เพราะเราดูเป็นคนเก็บกดอยู่เหมือนกัน

ฟังอาจารย์จิตวิทยาพูดแบบนี้ แล้วแอบเครียดนะเนี่ย ตูเก็บกดเหรอเนี่ย เพิ่งรู้

Sunday, August 29, 2010

JRP วันที่ 9 : ทรงผม

เรียนเรื่องทรงผม เป็นคลาสที่หนักใจ เพราะหัวเรา...ก็เป็นอย่างที่เห็น

อาจารย์สอนให้เข้าใจ ธรรมชาติของผมแต่ละคน และปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเวลาตัดผม พึงระลึกไว้เสมอว่า รูปหน้า ลักษณะเส้นผมคนเราต่างกัน ฉะนั้นการที่เห็นว่าเพื่อนเรา หรือ ดารา ตัดทรงนี้สวยแล้วจะไปตัดตามเค้านั้น ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้อย่างที่เราคิด

หลักๆเลยที่ต้องคำนึงคือ
1. รูปหน้า หน้ากลม รูปไข่ หน้าเหลี่ยม เราต้องเลือกทรงผมที่รับกับหน้า
2. เส้นผม ว่าผมเราตรง หยักศก หยิก
3. ขนาดเส้นผม เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ เอ๊ย ไม่ใช่
4. ลักษณะการงอกของเส้นผม ทิศทางการงอกแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนผมล้มไปทางซ้าย แต่ดันจะมาแสกขวาก็คงจะไม่ได้
5. บุคลิก อายุ (เพราะเค้าเน้นเรื่องทำผมให้เข้ากะบุคลิก

นอกนั้นก็มีอีกนิดหน่อย แต่เราจำไม่ได้เเล้วอ่ะ (เรียนมาเเกือบเดือนเพิ่งมาอัพ)

อาจารย์สอนด้วยว่า เวลาไปตัดผมควรจะแต่งตัว แต่งหน้าเหมือนชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เสื้อยืด ขาสั้น ลากแตะ หัวโทรมๆไป เพราะช่างผมที่เก่งๆน่ะ เค้าจะสังเกตุบุคลิกท่าทางของเราด้วยเพื่อที่ว่าจะออกแบบผมให้เข้ากับบุคลิก

ทรงผมก็ต้องดูแลด้วย เพราะส่งผลต่อการแต่งกาย ถ้าหัวโทรมเราก็จะไม่ค่อยอยากแต่งตัวสวยๆ (เออ..ข้อนี้จริง ช่วงนี้เราเเต่งตัวแต่งหน้าโ?รมตลอด เพราะรู้สึกว่าทรงผมทรงนี้มันเซอร์ๆ)

สำหรับหัวเรา อาจารย์บอกว่าดี ทรงนี้ก็โอเค แต่ว่ามันทำให้เราตัวใหญ่ ต้องระวัง (เพราะเป็นคนตัวใหญ่อยู่แล้ว ผมสั้นยิ่งดูตัวใหญ่เข้าไปอีก) ทาง JRP เค้าให้คูปองไปตัดผมฟรีที่ร้านอาจารย์มาหนึ่งใบ ถึงแม้ว่าเราจะเพิ่งตัดผมได้สองเดือน เเต่เราก็รู้สึกว่ามันเริ่มโทรม (คิดไปเองอ่ะ) ก็เลยไปให้อาจารย์ตัดให้

อาจารย์บอกว่า ทรงนี้ดีอยู่เเล้ว ทรงสวยดัดกำลังดี เข้ากะบุคลิกเราด้วย จริงๆไม่ต้องตัดก็ได้ อ้าว ซะงั้น แต่เราว่ามันดูโทรมๆอ่ะ ก็เลยบอกอาจารย์ช่วยปรับให้หน่อย (คิดไปคิดมา รู้งี้ยังไม่ไปตัดก็ดีอ่ะ รอให้เสียทรงค่อยไปตัด)



ออกมาเป็นแบบนี้ อาจารย์บอกว่ามันเป็นทรงคล้ายๆเดิมแหละ แต่เซ็ทคนละแบบ อ้อ เอาบ๊อบเทออกด้วย เพราะว่าเราไม่ชอบบ๊อบเท

Before (เลือกรูปด้านข้างเห็นผมชัดๆ)



After


Sunday, August 22, 2010

JRP วันที่ 8 : แต่งหน้้า ตอนที่ 2

วันนี้เรียนแต่งหน้าคลาสที่สอง เริ่ม Advance ชึ้นมา คือเพิ่มเขียนคิ้ว แต่งตาด้วยอายแชโดว์สองสี นอกนั้นก็คล้ายๆเดิม

เราก็..แต่งได้แหละ เเต่ต้องให้อาจารย์ช่วยซ่อมให้เล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะเขียนคิ้วเข้มเกินเหตุ และเขียนตาดูไม่มีมิติ จนต้องเพิ่มอายแชโดว์สีที่สาม (ได้ข่าวว่าตอนเริ่มแต่งเค้าให้ใช้สองสีไม่ใช่เรอะ)

ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีไรมาก เรียนจบไปเที่ยวกะอุ๋มต่อ ถามอุ๋มว่าดูแตกต่างจากปกติมั้ย อุ๋มบอกว่าก็เหมือนทุกทีที่แต่งอ่ะ ง่ะ....ฝีมือเค้าไม่ได้ดีขึ้นเลยเหรอเนี่ย เเง่มๆ

Wednesday, August 18, 2010

ก็เป็นซะอย่างเงี๊ย

เกริ่นก่อนนะ คือเราโดนแฟนเราบ่นบ่อยมากว่า เราน่ะความรู้สึกช้า ไม่เคยรู้สึกเลยว่าใครเค้ามาชอบ หรือไอ้เพื่อนชายที่คุยๆกันอยู่น่ะ มันจีบเราอยู่นะ (ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองดูดีนี่หว่า การจะมองว่าใครเข้ามาคุยด้วยแสดงว่าเค้าชอบเนี่ย มันหลงตัวเองเกินไป) จนครั้งนึงไปดูหนังกะพี่ผู้ชายคนนึง เค้าเอื้อมมือมาจับมือเราตั้งแต่ต้นเรื่อง ตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก จะสะบัดออกก็ไม่กล้า ดูหนังก็ไม่รู้เรื่อง เพราะมัวแต่คิดว่าเอาไงดีวะกู จะเอามือออกจังหวะไหนดีวะ ไม่ให้น่าเกลียด จากครั้งนั้นเลยรู้สึกว่า...ต่อไปเราจะต้องหลงตัวเองละ มองว่าชายหนุ่มทุกคนบนโลกใบนี้ที่เข้ามาคุยกะชั้นคือจะจีบชั้นแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

และอย่างที่เพื่อนๆรู้ ว่าแฟนเรายังไม่อยากแต่งงาน ซึ่ง...ทำให้เราเกิดอาการเซ็งจนคิดจะหาแฟนใหม่หลายต่อหลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีใครผ่านเข้ามาในชีวิตซักที


จนล่าสุด..ไปเรียน JRP รู้จักผู้ชายคนนึง เรียนคลาสเดียวกันบ่อย แต่เค้าเรียนจบละ (เพราะเราโดดบ่อย อิอิ) วันสุดท้ายที่เจอกันเค้าขอเบอร์ไป เผื่อว่ามีโอกาศได้ติดต่อกัน ก็ให้ไปแหละ ไม่คิดไรหรอก เพราะเราเป็นคนเห็นความสำคัญเรื่อง Connection อยู่แล้ว เผื่ออนาคตอาจได้ติดต่อกันก็ได้ใครจะไปรู้ สองวันผ่านไปเค้าโทรมา ตกใจอ่ะ โทรมาทำไม ไม่มีธุระซะหน่อย จะจีบชั้นรึป่าวเนี่ย ไม่เอา กลัวๆๆๆ ก็เลย...ไม่ยอมรับโทรสับเค้าซะงั้น -_-" (จริงๆเค้าอาจจะมีธุระก็ได้นะ)

พอตั้งใจจะว่าจะลองเปิดโอกาสตัวเองรู้จักคนใหม่ๆก็ไม่มีคนใหม่เข้ามาเลย (สงสัยเพราะอายุเยอะแล้ว) พอ(เหมือนจะหลง)เข้ามาคนนึง กลับกลายเป็นว่ากลัว ไม่กล้าซะงั้น เฮ้อ... ก็เพราะเป็นซะอย่างเงี๊ย ก็คงต้องใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอ่ะ



วันนี้ป่วยนอนอยู่บ้าน แต่อยากกิน ข้าวไข่ข้นซอสต้มยำกุ้ง เลยลุกขึ้นมาทำกินซะเลย หน้าตาอาจดูไม่ดี แต่อร่อยนะจ้ะ

Monday, August 9, 2010

love me love my mom

ว่าจะส่งรูปประกวด งานวันแม่ที่ตึกออฟฟิศเราจัด เลยรื้อรูปที่ชอบๆมา แต่ตัดสินใจไม่ได้แฮะว่าส่งรูปไหนดี ไว้ให้เพื่อนๆช่วยเลือกดีกว่า รูปถ่ายเองไม่ได้สวยอะไร แต่เราชอบอ่ะ คิดว่าคงไม่ได้รางวัลหรอก แต่จะลองส่งดู














อัพเสร็จนึกได้ว่า ลืมใส่ลายน้ำ เดี๋ยวมาแก้นะคร้าบบบบบบ

Sunday, August 8, 2010

Hello ! I'm a Mac



โฆษณาชุดนี้เก่าละ เคยเห็นชุดใหม่ๆกว่านี้อ่ะ แต่หาไม่เจอ

ชอบบบบบบบ

Wednesday, August 4, 2010

HAPPY BIRTHDAY TO ME



(เค้กวันเกิดที่แผนกจ้า มีชื่อสองคนเพราะมีเพื่อนอีกคนเกิดใกล้ๆกัน)

แก่ขึ้นอีกปีแล้วเรา ปีนี้ก็ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ส่งข้อความ หรือโทรมาอวยพรทุกๆคนเลย ก้าป เก๋ แก้ว พี่วิน จอม แอม หน่อง ฟ้า นัสเซอร์ โน๊ต ป่าน พี่เอ้ เควิน พี่ปริน น้องฝน พี่ปลา เปิ้น น้องสาว พิม อ้อ เบนจี้ นุ้ย พี่ติ๋ง พี่จี พี่ออย ต่าย พี่แจ๊ค น้องตี้ เฟิร์ส เต่า พิมมี่ เน๊ะ ขวัญ เอ้(ทำมะสาด) เชอรี่ น้องโอ๋ ม่อน น้องแจง สุดท้ายก็คนในครอบครัว ป้าแดง ป้าเล็ก พี่ปอนด์ พี่แบงก์ พ่อ แม่ พัฒน์ ขอบคุณนะคะ


เมื่อวันอาทิตย์พ่อกะแม่ก็พาไปเลี้ยงวันเกิดล่วงหน้า (ไปกันสามคน ไม่มีพี่แบงก์อ่ะ) ขอบคุณคุณแม่นะคะ รักพ่อกะแม่ที่สุดเลย

Saturday, July 31, 2010

Home Made Yogurt

พยายามทำโยเกิร์ตด้วยตัวเองมาสองสามที ไม่สำเร็จ เพราะว่าไม่มีที่บ่ม อากาศที่บ้านไม่ร้อนพออ่ะ พอพี่ที่ทำงานชักชวนซื้อเครื่องทำโยเกิร์ตก็เลยตัดสินใจซื้อโดยพลัน เราชอบกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติมากๆ แต่ว่าโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่เมืองไทยมันไม่อร่อยเอาซะเลย หว๊านหวาน ชอบเวลาไปกินที่ยุโรปมากกว่า (ฟังดูกะแดะดีแฮะ) ฉะนั้น....ทำกินเองดีกว่าจะได้ไม่หวานแบบที่เราต้องการ

วิธีทำก็แสนง่าย เอานมสดมา (ยูเฮชที หรือพาสเจอไรส์ก็ได้ แต่เราเลือกพาสเจอไรส์ เพราะเราว่ามันอร่อยกว่า) ทีนี้พอเอาพาสเจอไรส์มาก็ต้องเอามาต้มซะก่อน จริงๆบางสูตรไม่ต้มนะ แต่เราต้มอีกทีฆ่าเชื้อ จากนั้นรอให้เย็นหน่อย เทใส่ขวดแก้วของเครื่องทำโยเกิร์ต แล้วก็ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ซื้อตามห้างเนี่ยเเหละ ลงไปซักสองช้อนชา คนให้เข้ากันเเล้วก็เอาใส่เครื่อง เปิดสวิสต์ (พี่ที่ทำงานบอกว่าเค้าใช้เวลา สี่ชั่วโมงครึ่ง แต่เราล่อไปเจ็ด เพราะอยากได้เปรี้ยวๆ)

หน้าตาตอนอยู่ในเครื่องเป็นแบบนี้



จริงๆไอ้เครื่องนี้ก็แค่เครื่องบ่มรักษาอุณหภูมิให้อุ่นคงที่ แค่นั้นแหละ เค้าว่าเมืองไทยไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะอากาศร้อน เอาวางไว้ในที่อุ่นๆนิดนึงก็ได้โยเกิร์ตแล้ว แต่เราทำไม่สำเร็จอ่ะ ขนาดเอาไปวางหลังตู้เย็น (หลังตู้เย็นนะ ไม่ใช่บนตู้เย็น) มันยังไม่เป็นโยเกิร์ตเลยอ่ะ

พอใช้เครื่องแล้วก็ได้ออกมาเป็นแบบนี้



แต่น แต่น แต๊น จับตัวเป็นก้อน แต่..มันมีไขนมที่แยกตัวเป็นคราบๆอ่ะ เนื้อไม่เนียนเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะเราเอานมไปต้ม โดยไม่คน ไขมันเลยแยกตัว (ตอนเอานมใส่ขวดก็มีไขนมนอนก้นหม้อเต็มเลย)





หม่ำๆ หน้าตาไม่สวยแต่อร่อยน๊าาาาาา ไม่หวานเลย ถูกใจ



ไว้ทำเก่งกว่านี้ เนื้อเนียนๆ จะมาอวดใหม่ อิอิ

Monday, July 26, 2010

JRP วันที่ 7 : ทักษะการพูดและการสื่อสาร ตอนที่ 2

วิชานี้คลาสแรกพูดไปนิดเดียว ตอนวันที่สาม เพราไม่ประทับใจ คราวนี้ดีขึ้นหน่อย แต่ว่าก็ไม่ค่อยชอบอยู่ดี ถึงแม้เพิ่งเรียนมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เหอะ แต่จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่

อาจารย์สอนว่า คนเราอยากได้ความภูมิใจ อยากให้คนชื่นชม และเห็นคุณค่าของเรา ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำเพื่อให้คนเห็นคุณค่า ก็ คือ แก้ปัญหาให้เค้า ทำตัวให้เค้านับถือ หรือเคารพ และสุดท้าย ทำให้ถูกใจ (ทั้งหมดเป็นภาษาเรานะ ไม่ใช่ภาษาอาจารย์) และอาจารย์ก็สอนอีกว่า เราจะเป็นผู้พูดที่ดีได้ เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน และจะเป็นผู้ฟังที่ดีได้ก็ต้องเป็นคนถามที่ดี แล้วจะเป็นถามที่ดีได้ไง ก็ โน่นนีนั่น (จำไม่ได้ละ) คนฟังที่ดียังไง ก็ต้อง เต็มใจฟัง คนพูดที่ดี ก็ต้องพูดในสิ่งที่คนฟังอยากฟัง อะไรประมาณนี้ คือ,,,เราไม่ค่อยชอบเลยอ่ะ มันดูหลักการสวยหรู แต่ทำน่ะมันยาก เพราะอาจารย์ก็บอกทำนองว่า บอกไม่ได้ว่ายังไง เพราะต้องดูว่าใครฟัง และเราจะทำยังไงต้องดูคนให้ออก อ่านคนให้เป็น (แต่ไม่สอนว่าให้ดูยังไง)

ตอนท้ายอาจารย์บอกว่า Public speaking ไม่ใช่เเค่การพูดบนเวที การที่เราคุยกันตอนนี้ก็เป็น Public speaking นั่งเม๊าท์กะเพื่อนๆก็เป็น Public Speaking ฉะนั้น เราก็ต้องควบคุมตัวเองด้วยนะ เราก็...อืม เห็นด้วยนะ (แต่โดยส่วนตัว ไม่ชอบวิชานี้ เข้าใจยาก ไม่สนุก และต้องแอพพลายเองล้วนๆ) และไม่ใช่แค่เรื่องคำพูดนะ ทั้งภาษากาย เช่นสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และคำพูด ทุกอย่างที่ออกมาจะต้องควบคุม รวมถึงการเป็นตัวของตัวเองด้วย เพราะคนเราจะตัดสินคนจากสิ่งที่รับรู้ ภายในเวลา กี่นาที กี่วินาทีเราจำไม่ได้แล้วอ่ะ แต่ว่าไม่นาน ฉะนั้นเราต้องสอดแทรกความเป้นตัวเองเข้าไปด้วย เพื่อให้คนเห็นเรา รู้จักเราในสิ่งที่เราเป็น

ก่อนจบชั่วโมง อาจารย์จะให้คำแนะนำ แก่นักเรียนเป็นรายตัว ว่าที่นั่งเรียนมา ใครควรปรับอะไรในแง่การสื่อสาร ก็ว่ากันไป างคนอาจารย์ก็ว่า โชว์ออฟเกินไป บางคนก็ทำหน้าไม่แสดงอารมณ์เวลาฟัง (ซึ่งควรจะทำ เช่นไม่เข้าใจก็ทำหน้างง เข้าใจก็พยักหน้าบ้างอะไรงี้) ส่วนเรา.... อาจารย์ข้ามไปรอบนึง ไม่วิจารณ์ แล้วก็ค่อยกลับมาวิจารณ์เป็นคนสุดท้ายว่า ไม่รู้จะพุดอะไรกะเราดี เอาเป็นว่าอยากให้เราแต่งตัวเปรี้ยวกว่านี้ เพราะเราดูเป็นสาวเปรี้ยว

.... เรียนเรื่องการสื่อสาร แต่วิจารณ์ให้แต่งตัวเปรี้ยวเนี่ย แสดงว่าเรื่องการสื่อสารอื่นๆ เราไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยเนี่ย แค่เรื่องการแสดงตัวตนไม่ชัดเจนเองเหรอ อืม...เป็นนักเรียนดีเด่นอีกหนึ่งคลาสแฮะเรา

ว่าแต่เราเนี่ยนะ ควรจะเปรี้ยว ?

JRP วันที่ 6 : แต่งหน้้า ตอนที่ 1

วันนี้เรียนเรื่องการแต่งหน้า อาจารยสอนตั้งแต่พื้นฐานเลยว่า make up remover, cleanser, scrubb, toner, eye cream, moisturizer, กันแดด คืออะไร สำคัญยังไง ใช้ยังไง ซึ่งคนแต่งหน้าเป็นอย่างดิชั้นรู้อยู่แล้วอ่ะ ตามด้วย Makup base, primer, eyeshadow, blush, อะไรแบบนี้ คืออะไร ใช้ทำอะไร จากนั้นก็สอนให้แต่งหน้าขั้นพื้นฐานสุดๆ คือเิ่มตั้งแต่ ล้างเครื่องสำอาง ลงครีมบำรุง กันแดด จากนั้นก็สอนแต่งหน้า ที่ไม่ได้ทำไรมาก ทาแป้ง ทาอายแชโดว์ ปัดมาสคารา ปัดแก้ม ทาลิป จบ

เพราะเป็นแค่พื้นฐานเราเลยไม่มีปัญหาอะไร ชิลๆ รอดูตอนที่ 2 เพราะอาจารย์บอกว่าตอนนี้เน้นพื้นฐานก่อน ให้คนที่แต่งไม่เป็นรู้หลักก่อน คราวหน้าจะเป็นแอดวานซ์ละ

JRP วันที่ 5 : การแต่งกาย ตอนที่ 1

หายไปนาน ไม่ได้มาอัพเลย เรียนไปหลายครั้งแล้วอ่ะ และก็ไม่ได้ไปเรียนหลายครั้งด้วย ไปเที่ยวมั่ง ขี้เกียจมั่ง เหอๆๆ จะจบเมื่อไหร่ฟะเนี่ย

คลาสนี้เรียนตั้งแต่ต้นเดือนเเน่ะ ชอบเหมือนกัน เรียนที่นี่ได้ความรู้ ได้มุมมองเยอะนะ นับว่าได้ประโยชน์ทีเดียว อาจารย์จะไม่เน้นเรื่องกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่า ต้องใส่อะไร สีไหนคู่สีไหน เพราะมันแล้วแต่สไตล์แล้วแต่คน ไม่อยากให้คนเรียน JRP แล้วแต่งตัวแบบเดียวกันเป็นแพทเทิร์น อาจารย์จะพูดรวมๆ เช่นขากางเกงต้องยาวประมาณไหน เสื้อผ้าแบบไหน สีอะไร ควรหลีกเลี่ยง แล้วก้ให้แต่ละคนบอกจุดด้อยของตัวเอง เช่น ขาใหญ่ ก้นใหญ่ เพราะ คนเราจะแต่งตัวดูดี ต้องรู้จักรูปร่างตัวเอง จุดดี จุดด้อย จะได้รู้จักเสริมจุดเด่น กลบจุดด้อย แล้วก็ให้เพื่อนๆช่วยดูว่าจุดด้อย หรือจุดที่เรากังวลน่ะ เป็นปัญหาจริงๆรึป่าว แล้อาจารย์ก็จะแนะนำให้แต่งตัวเสิรมจุดเด่น กลบจุดด้อยตัวเอง แล้วถ้าชุดที่ใครแต่งมาไม่เหมาะกับตัวเอง อาจารย์ก็จะบอก และแนะนำให้

สำหรับเรา เราว่าปัญหาการแต่งตัวเราคือ เราไม่มีอก ไม่มีเอว ไม่มีก้น ใส่อะไรก็ดูแบนๆ ดูผอมๆ แต่วันนั้นเราดันใส่ชุดแซกกระโปรงทิวลิปไป เลยดูมีสะโพก เพื่อนๆเลยไม่เห็นด้วยว่าเรามีปัญหาซะงั้น แต่อาจารย์แนะนำว่า ถ้ากังวลก็ให้ใส่เสื้อผ้าที่มีเลเยอร์ หรือ วอลุ่ม เช่นใส่เสือแจ๊กเก็ตทับอีกชั้น ใส่กระโปรงขนมชั้น หรือ ใส่ผ้าหนาๆที่มีเทกซเจอร์

ชอบที่อาจารย์แนะนำอีกอย่างคือ เวลาจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้คิดว่า จะใส่ไปไหน และ ใส่กับอะไร ถ้าตอบคำถามสองข้อนี้ไม่ได้ ไม่ต้องซื้อ เพราะคนส่วนใหญ่ซื้อเื้อผ้ามา บางทีไม่ได้ใส่ซะงั้น เปลือง

สำหรับตอนที่ 2 อาจารย์ให้แบกเสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตประจำวันและทำงานมาคนละ 5-6 ชุด เพื่อจะมาดูว่าใครแต่งตัวยังไง เหมาะไม่เหมาะ อาจารย์จะแนะนำให้ แต่ไอ้ตอนที่ 2 เนี่ย เราไม่มาเรียน ก็เลย....รอไปก่อน ไว้ไปเรียนแล้วอาจารย์ว่าไงจะมาอัพอีกที

Tuesday, July 20, 2010

Matsuzaka Beef

โอหลั่นล๊าาาาาา บอกลาชีวิตมนุษย์ปกติ มากินมัง วงเล็บว่า เป็นบางมื้อ

ทำให้หวนระลึกถึงความหลัง กับสุดยอดเนื้อวัว มัตซึซากะ เนื้อนุ่ม ไขมันละลายในปาก อ๊ากกกกกกก เคยกินมาทั้งแบบ Steak,Tepanyaki, Shabu Shabu, Sukiyaki อยากบอกว่าแบบชาบูชาบูอร่อยสุด (เพราะเราชอบเนื้อดิบๆหน่อย)

ล่าสุดไปกินมาก่อนตัดสินใจกินมังได้สามวัน อาหย่อยๆ

Matsizaka Tepanyaki จ้า



เป็นบล๊อกที่ไร้สาระมากวันนี้ 555

Monday, July 12, 2010

just started to be vegetarian

เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ


เหอะๆๆๆ ตอนนี้พบว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพบางประการ (เเต่ยังไม่อยากเล่าให้ฟังอ่ะ) ก็เลยตัดสินใจว่าเราจะกินมังสวิรัส (เขียนไงเนี่ย) เเต่ก็คงกินแบบไม่ให้ตัวเองเดือดร้อนมาก คือกินเท่าที่กินได้ ถ้าไปสังสรรกับเพื่อนๆก็คงกินตามปกติ แต่อาจจะกินเนื้อน้อยหน่อย หรืออาจจะไม่กินเลย (แล้วแต่สถานการณ์ เเต่คงไม่เคร่งมาก) เเต่ถ้าไปไหนที่เราสามารถหามังสวิรัสกินได้ ก็คงจะพยายามกินมังสวิรัส

เพื่อสุขภาพ..........

Sunday, July 4, 2010

สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป‏

ได้ Fwd mail มา เดาว่าเป็นของท่าน ว วชิรเมธี นะ อ่านเเล้วชอบมาก ขอเอามาลงไว้เตือนสติตัวเองหน่อยเหอะ

สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตามที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอก ที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

..................ไม่มีใคร ทำให้คนทุกคนรักเราได้.....................
.......อาจจะมีคน ชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........
...............แคร์คนที่ แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา..............
..............มีมิตรแท้ เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100.............

ตัดผมดีกว่า

อัดอั้นตันใจอยากตัดผมสั้นมาหลายเดือนแต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคุณแม่ขอร้อง

พี่ชายสุดที่เลิฟจะเเต่งงานปลายเดือนมิถุนา แม่กลัวว่าผมสั้นจะไม่เข้ากับชุดออกงานสวยๆ และทำผมงามๆไม่ได้ เราเลยต้อง อดทน อดทน และ อดทน พองานแต่งพี่แบงก์จบ เราก็เเจ้นไปตัดผมทันที 555

Before ผมยาวแล้ว (ในรูปผมดูเป็นทรงเพราะเพิ่งรื้อทรงที่ช่างเค้าเซ็ทไว้ตอนงานวันหมั้นพี่แบงก์ แต่ของจริงน่ะ ลอนคลายหมดแล้ว)


อยากตัดสั้นมากๆ ไม่คิดไร บอกช่างว่าอยากได้ทรงศรีริต้า (อยากรู้ไป Search ดูเอง) ช่างก็จัดให้ตัดบ๊อบเท (ทรงน้องริต้านี่บ๊อบเทเหรอ นึกว่าบ๊อบธรรมดานะเนี่ย) จากนั้นก็ดัด เพราะหัวเราลีบมากกกกกก ทรงน้องศรีริต้าต้องพองๆฟู เน่นกับช่างมากว่า ไม่เอาหยิกนะพี่ ขอแค่พองๆ ดัดยกโคนก็พอ

ออกมาเป็นแบบนี้ จากศรีริต้าก็เป็นทรงสก๊อยเกาหลีไป (มีเเต่คนทักว่าทรงนางเอกเกาหลี จริงๆชั้นตัดทรงศรีริต้านะ ฮึ่ม!!!)




หัวก็ดูหยิกๆ เพราะเพิ่งดัด แอบเสียเซลฟ์ว่าไหนช่างบอกว่ามันไม่หยิกไง ฮือๆ แต่พอสระเองปุ๊ป เออ...ไม่หยิกเเล้วจริงๆด้วย เป็นหัวพองๆ เหมือนหัวเห็ดแทน ดีๆ นี่แหละที่ต้องการ ออกมาดังรูป เเต่ถ่ายมามันไม่ค่อยเห็นว่าพองอ่ะ ของจริงพองกว่านี้



พอตัดผมแล้วแต่งตัวยากอ่ะ รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่มีไม่เข้ากับทรงผม เลยต้องเสียเวลามามิกซ์แอนด์แมชท์ชุดทุกเช้าเลยอ่ะ

Saturday, June 19, 2010

JRP วันที่ 4 : อิริยาบท ตอนที่ 2 & การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน

พอเขียนตอนนี้ ก็เพิ่งนึกได้ว่า JRP วันที่ 3 ไม่ได้เขียนนี่หว่า เหอๆๆๆ วันที่ 3 หายไปไหน ที่หายไปก้เพราะว่าเราไม่ชอบที่เรียนเอาซะเลย น่าเบื่อ ไม่เห็นได้ประโยชน์กับชีวิต วันที่ 3 เรียนเรื่องทักษะการพูดและการสื่อสาร ซึ่งอาจารย์เค้าจะถามปัญหาของเเต่ละคนว่าเป็นยังไง พร้อมสอนให้แก้ ซึ่งปัญหาของคนในคลาสจะเป็น ไม่กล้าพูดหน้าห้อง ไม่กล้าพรีเซนต์งาน พูดเสียงเบา พูดเร็ว เสียงไม่หนักแน่น ไม่สบตาคน บลาๆๆ คือเหมือนกับว่า สอนให้กล้า ให้มั่นใจ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สำหรับเรื่องการพูดและการสื่อสาร เราต้องการเรียนรู้เทคนิคการพูดมากกว่า เช่น ถ้ามีคนถามคำถามที่ตอบไม่ได้ ควรจะทำอย่างไร ถ้าต้องอธิบายแล้วคนไม่ฟัง ไม่เชื่อ จะทำยังไง บลาๆๆ ซึ่งมันคงจะแอดวานซ์เกินไป JRP เค้าสอนเรื่อง personality ไม่ได้สอนเรื่อง presentation skill นี่เนอะ

เอาล่ะ เข้าเรื่องวันที่ 4 ดีกว่า เป็นวันที่สนุกมากๆ ตอนเช้าเรียนเรื่องอิริยาบทต่อ ซึ่งวันนี้สอนเรื่องการนั่ง มีทบทวนของเดิมนิดหน่อย ให้ลองเดินลองยืน ซึ่ง...ดิชั้นก็ได้รับคำชมจากอาจารย์นะคะ ว่าเดินได้ดีแล้ว (บอกเเล้วว่าตูทำได้) แต่พออาจารย์สอนเรื่องเข้าพบผู้ใหญ่ มีปัญหานิดหน่อย ว่าดิชั้นย่อขาเวลาไหว้ (เหมือนเด็กๆ หวัดดีคุณครู) ซึ่งอาจารย์บอกว่าไม่จำเป็นต้องย่อ แค่โน้มตัวและก้มหัวก็พอ หลังจากนั้น อาจารย์สอนเดินขึ้นลงบันได (ซึ่งข้าเจ้าก็ทำได้อยู่เเล้ว) และปิดท้ายด้วยการขึ้นลงรถ เราชอบอาจารย์คนนี้สอนมากๆ เลย แกจะให้เราลองทำเอง อย่างที่เราจะเป็นก่อน แล้วค่อยสอนว่าดีไม่ดีตรงไหน ซึ่งมันทำให้เรารู้ข้อบกพร่อง ได้ดีกว่า สอนก่อนแล้วให้ทำตาม เรื่องขึ้นลงรถ อาจารย์ให้ทำทีละคน เเล้วค่อยสอนว่าขึ้นลงรถที่ถูกควรทำท่าไหน ซึ่ง....มีดิชั้นทำถูกคนเดียวโดยที่อาจารย์ยังไม่ได้สอน ได้รับเสียงตรบมือจากเพื่อนๆทุกคน (อย่างที่บอก ตอนที่แล้ว เรื่องท่าทางน่ะ รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพียงเเต่ปกติไม่ได้ออกสังคม ไปไหนมาไหนกะแฟนชั้นไม่ทำเองต่างหาก)

ตอนจบอาจารย์คุยกะเราบอกว่าเราบุคลิกดีอยู่แล้ว ประกวดพวกนางแบบได้เลยแค่ปรับลุคนิดหน่อย เพราะเราดูเป็นผู้หญิงห้าว (อาจารย์เค้าเป็นคนสอนนางแบบ นางงาม และบางครั้งเป็นกรรมการ) ยิ่งตอกย้ำว่า เห็นมั้ยๆ ชั้นน่ะไม่ได้แย่ซักหน่อย เชอะ (สรุปเรามาเรียนเพื่อไรฟะเนี่ย สิ่งที่ตั้งใจมาเรียน ตูก็ทำได้อยู่แล้วนี่หว่า)

เราชอบอาจารย์ที่สอนอิริยาบทวันนี้ มากกว่าวันแรก อาจเป็นเพราะวิธีการสอน และคำแนะนำ วันนี้ได้ความรู้เพิ่มเติมด้วยล่ะ เช่นถ้าเราจะนั่งเบาะหลังรถสองประตูต้องทำยังไง (อันนี้ไม่เคยรู้มาก่อน) การวางเท้าหลายๆแบบตอนนั่ง (เพราะเรารู้แค่สองแบบ) หรือ ถ้าใส่รองเท้าเปิดนิ้วควรจะทาเล็บเท้าด้วย

ช่วงบ่าย เรียนพัฒนาบุคลิกภาพภายใน ก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา อาจารย์ที่สอนก็เป็นดอกเตอร์ (น่าจะเป็นด้านจิตวิทยานะ) ก็จะสอนเรื่องการเปลี่ยน เจตคติ สอนเรื่องหลักการคิด I'm OK You're OK ให้เรามองโลกในแง่บวก เราได้เเนวคิดแล้วมุมมองอะไรหลายอย่างมาก จากคลาสนี้ เเละเราว่าอาจารย์ ปิดท้ายได้ดี อาจารย์ให้ดูรูปข้างล่างนี้แล้วถามว่ามันเป็นรูปอะไร



แน่นอน ทั้งห้องบอกว่า รูปแรกเป็นสามเหลี่ยม รูปที่สองเป็นสี่เหลี่ยม อาจารย์บอกว่า มันเป็นสามเหลี่ยม กับ สี่เหลี่ยม จริงๆเหรอ คำนิยามของสามเหลี่ยม คือเส้นตรงสามเส้นมาบรรจบกันและทำมุมรวม 180 องศา (จำคำเป๊ะๆไม่ได้ แต่อารมณ์ประมาณนี้) ส่วนสี่เหลี่ยม ก็คือเส้นตรงสี่เส้นประชิดกัน มุมรวม 360 องศา ไม่ใช่หรือ

ที่เรามองเห็นเป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ก็เพราะเรามองจากภาพรวม เปรียบได้กับเรื่องการมองคน เราอย่ามองคนด้านเดียวว่าเค้าดีหรือไม่ดี หรือเค้าเป็นคนยังไง แต่เราต้องมองภาพรวม ว่าโดยรวมแล้วเค้าเป็นอย่างไร อาจจะมีบางจุดที่มันไม่ใช่ แต่ถ้าโดยรวมเเล้วเค้าโอเค เราก็ถือว่าเค้าโอเค เพราะไม่มีใครเพอร์เฟคไปซะหมด แต่ถ้ายังไงๆเราก็รู้สึกว่าไม่ใช่มันฝืนทัศนคติเรา มันไม่เป็นอย่างที่เราเชื่อ เพราะสามเหลี่ยมยังไงๆก็ต้องเป็นเส้นตรง เอาเป็นวงกลมมาต่อกันแบบนี้ไม่ได้ เราก็อาจจะต้องหาทางออก เช่น ไปหาคนอื่นเเทน ปรับเปลี่ยนเค้า ฯลฯ ..... เเละมีอีกหลายๆเรื่องที่เราชอบที่อาจารย์พูด เเต่ที่ประทับใจที่สุดคืออันนี้แหละ

Tuesday, June 8, 2010

mens are from mars women are from venus

สงสัยจะจริงอย่างที่เค้าว่า mens are from mars women are from venus เหมือนมาจากคนละโลกใช้กันคนละภาษาแฮะ

เรามีหนังสือเล่มนี้ เราว่าดีนะ ได้เเง่คิดการมีแฟนดี แต่ว่าไอ้เจ้าอาร์ต (แฟนเก่า) มันยืมไปสามพันแปดร้อยปีแล้วไม่คืน จะไปทวงก็คงจะไม่เพราะเลิกคบกันไปแล้ว เราไม่คุยกัน ไม่ติดต่อกันเลย

เมื่อวานคุยกะพัฒน์ (จริงๆ ฮึ่มๆกันตั้งแต่วันก่อน) คุยไปคุยมาก็ยิ่งรุ้สึกว่าผู้ชายกะผู้หญิงมันต่างกันจริงๆ เหมือนพูดคนละภาษา จำได้เลยว่าใน mens are from mars women are from venus บทนึง (บทไหนจำไม่ได้) เค้าบอกว่าผู้ชายจะไม่พูดปัญหาของตัวเองให้ใครฟัง พยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ฉะนั้นถ้าเค้าพูดปัญหาออกมามันต้องเป็นเรื่องหใญ่มากๆ และต้องการความช่วยเหลือ แต่ผู้หญิงน่ะชอบระบายสิ่งที่ตัวเองอึดอัดไม่สบายใจให้คนที่ตัวเองเชื่อใจได้รับรู้ และรับฟัง (เน้นว่ารับรู้และรับฟัง) แบบว่าฟังตูหน่อยเถอะแต่ไม่ต้องแสดงความคิดเห็นหรือช่วยแก้ปัญหาก็ได้ แค่อยากเล่าเฉยๆ แต่พอเล่าให้ผู้ชายฟัง เค้าจะจริงจังว่านั่นคือปัญหา และพยายามช่วยแก้ไขทุกอย่าง รวมถึงคิดว่าเรื่องที่เราพูดน่ะ เราเครียดกับมันมากจริงๆ

เหตุการณ์ตัวอย่าง
เหตุที่ 1 เราเคยเล่าให้พัฒน์ฟังว่า "น้องที่ทำงานเรียกเค้าว่า แก๊งก์บางแค (สาวโสด แก่ ขาดคนดูแล) ฮือๆๆ" ถ้าเป็นผู้หญิง ก็จะขำๆ ไม่อะไรใช่มั้ย (เพราะเราก็ไม่ได้ซีเรียสแค่เล่าขำๆ) แต่ฮีกลับว่าเราว่า เราไม่ดูแลตัวเอง แล้วพอคนอื่นว่าแก่ ก็มาเครียด มาโวยวาย "....."
เหตุที่ 2 "เหนื่อยอ่ะ ตัวเอง งานเยอะ ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน" ฮีบอกว่า จะหักโหมทำงานไปทำไม หัดดูแลตัวเองบ้าง ไม่กินข้าวเดี๋ยวก็โรคกระเพาะขึ้นอีกหรอก เคยดูโฆษณามั้ย ที่ทำงานหนักเป็นพนักงานดีเด่น แล้วพอแก่ก็นอนบนเตียงเพราะไม่สบาย บลาๆๆ
เหตุที่ 3 "ตัวเอง รถยังไม่ได้เลย เลทมาสองอาทิตย์แล้ว เค้าเซ็งอ่ะ เซลล์ก็บอกว่าไม่รู้จะได้เมื่อไหร่" ฮีก็บอกว่า โทรไปหาหัวหน้าเซลล์เลย เเล้วบอกว่า ลูกน้องคุณพูดอย่างงี้กับผม โน่น นั่น นี่ รถก็ยังไม่ได้ บลาๆๆๆ

เรื่องที่พูดข้างบนมันก็ขำๆอ่ะ คงคล้ายๆ อาร์ตตัวแม่ ของโน้สอุดม คือ ขำๆ ถึงจะบ้าๆบอๆแต่ก็ร๊ากกกกก แต่บางครั้งพอเป็นเรื่องที่ซีเรียสจริงๆ มันก็เป็นเหตุที่ทำให้ทะเลาะกันนะ

ตั้งใจว่าจะซื้อ mens are from mars women are from venus ให้พัฒน์อ่านเล่น (ไม่รู้จะอ่านรึป่าว) เผื่อว่าจะเข้าใจชั้นบ้าง เชอะ

Wednesday, June 2, 2010

Employee of the year

เคยได้ยินคำว่าขึ้นหม้อมานานแล้ว (ไม่ได้หมายถึงหุงข้าวนะ) แต่เพิ่งรู้ว่าตอนนี้เรากะลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่าขึ้นหม้ออยู่นี่เอง คืองานที่เราทำอ่ะต้องDeal กับ Top Management ของบริษัทค่อนข้างเยอะ และ Performance ของเราก็ค่อนข้างดี เมื่อต้นปีก็เพิ่งได้ promote เป็น Senior QA Engineer เด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ทำงานสามปี เลื่อนขั้นเป็น วิศวกรฝ่ายประกันคุณภาพอาวุโสซะแล้ว (ชื่อตำแหน่งฟังดูแก๊แก่) เลื่อนขั้นแล้วงานก็เยอะขึ้น เหนื่อย (อยากบอกว่าเดือนที่ผ่านมา มีเวลาโทรหาพัฒน์แค่ครั้งเดีียว เพราะงานยุ่ง พอกลับบ้านก็เหนื่อย อยากพัก อยากนอน ไม่อยากคุยกะใคร)


วันนี้ความเหนื่อยอาจจะยิ่งมากขึิ้น แต่มันก็มาพร้อมความภูมิใจ อาทิตย์ที่แล้วที่ทำงานมีการคุยเรื่องใครจะได้เป็น High Potential (ไม่รู้ชื่อเต็มๆเรียกว่าไง แต่ประมาณเนี๊ยแหละ) อารมณ์เหมือนพนักงานดีเด่นประจำปีของแต่ละแผนกนั่นเเหละ ปีที่แล้วเราก็ได้เป็น High Potential คนที่ได้ตำแหน่งก็จะมีผลตอบแทนนิดๆหน่อยๆ เช่น เงินพิเศษ หุ้น บลาๆๆ แล้วแต่ปี

ปีนี้เรื่อง High Potential เนี่ยเค้าเปลี่ยนกฎนิดหน่อย คือเเต่ละเเผนกต้องเสนอชื่อคนให้คณะกรรมการตัดสิน โดยที่มี critria เพิ่มเติมคือ คนที่จะถูกเสนอชื่อ ต้องมีเกรดของการทำงานระดับ 6 ขึ้นไป (เกรดจะเพิ่มตาม อายุงาน ประสบการณ์ ทักษะที่มี ประมาณนั้น) ซึ่งเราน่ะเกรดไม่ถึง เมเนเจอร์เลยไม่ได้เสนอชื่อเรา แต่พอชื่อเข้าคณะกรรมการ GM ถามว่า ทำไมไม่มีชื่อวรรคพรรณ ทุกคนก็อึ้งไป (เมเนเจอร์เล่าให้ฟังนะ)

คือแบบว่า..ภูมิใจนะ ทำงานดีจน GM ยังคิดว่าจะต้องได้ High Potential แต่...เชื่อมั้ยว่าจากการทำงานจนเข้าตา GM ขนาดนี้เนี่ย ไม่ง่ายเลย โคตรเหนื่อย

แล้วก็คิดได้ว่า การจะมาเป็นหัวแถวเนี่ยยาก แต่การจะรักษาตำแหน่งหัวแถวไว้ไม่ให้คนอื่นแซงเนี่ยยากยิ่งกว่า ก็ดูต่อไปว่าจะขึ้นหม้อแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน สู้ต่อไป ทาเคชิ

Friday, May 28, 2010

คำถามที่ไม่อยากตอบ

"ฉันไม่อยากจะตอบคำถาม ที่เค้าถามกัน....."


เฮ้อ..... เทศกาลแห่งความเซ็งเริ่มขึ้นอีกแล้ว เมื่อต้องเจอคำถามที่ไม่อยากตอบ

เดือนหน้า (วันที่ 17 มิถุนา) พี่แบงก์จะแต่งงาน พี่ชายจะแต่งงานนับเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็นำพาเรื่องสุดเซ็งมาให้เรา

เพราะพอเจอหน้าญาติๆ เพื่อแจ้งข่าวงานมงคล ..... ก็จะมีคำถามนึงพุ่งตรงมาที่เราทันที

"แล้วบุ๋นจะแต่งเมื่อไหร่"




คือ..ก็รู้อยู่ว่าตรูเนี่ยเป็นผู้หญิงนะ ตรูอยากแต่ง แต่คุณผู้ชายเค้ายังไม่อยากจะให้ทำยังไง ฮึ ยังไงก็ต้องรอเค้ามาขออยู่ดี


(คิดในใจ แต่พูดออกไปไม่ได้ เพราะญาติผู้ใหญ่ทั้งนั้น)



คาดว่าจะเป็นคำถามที่โดนถามต่อไป จนถึงในงานแต่งงานเลยทีเดียว

ผู้ใหญ่เค้าจะเคยคิดมั้ยว่าคำถามแบบเนี้ย คนฟังเค้ารู้สึกไม่ดี ไม่ว่าจะเป็น เมื่อไหร่จะแต่ง เมื่อไหร่จะมีน้อง เฮ้อ...... (เห็นในพันทิบก็มีคนบ่นเรื่องนี้เยอะอยู่) ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ แต่งเมื่อไหร่บุ๋นจะรีบบอกทุกคนเลยล่ะ

Sunday, May 23, 2010

RED have already gone !!!

ไม่เกี่ยวกะการเมืองแต่อย่างใด เรื่องของเรื่องคือเราจะเปลี่ยนรถ แล้ววันนี้เป็นที่เค้ามาเอาน้องแดงไปแล้ว โอ้ววววววว เมื่อตอนเที่ยง

น้องแดงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า GAMO (ข้าพเจ้าตั้งเอง) เดี๋ยววันอังคารนี้จะมีน้องขาวมาแทน น้องขาวมีชื่อแล้วนะ ชื่อ มูซาชิ (Musashi) ซึ่งเป็นชื่อซามูไรคนดังคนนึง

ตอนนี้ลานจอดรถโล่ง ไม่มีน้องกาโม่อยู่แล้ว รู้สึกแปลกๆเหมือนกันเพราะรักน้องกาโม่มากกกก ผูกพันกันมาตั้งหกปี เเต่เอาเหอะ ชีวิตต้องดำเนินไป แล้วจะเอาน้องขาวมาอวด

รูปสุดท้ายที่ถ่ายกับกาโม่ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (วันที่สลายชุมนุมน่ะเเหละ)

Monday, May 17, 2010

เปิดกล่องความทรงจำ

วันนี้ได้หยุดเนื่องจากเหตุความไม่สงบในกรุงเทพ อากาศก็ร้อน ไม่มีอารมณ์ทำอะไร ก็เลยจัดห้องดีกว่า รื้อของในตู้หนังสือ โล๊ะหนังสือเรียน เลคเชอร์ทั้งของป.ตรี ป.โท ทิ้ง (เก็บไว้เยอะ เพราะว่าป.โท ต่อสาขาเดิมๆไง ของเก่าเลยเก็บไว้ใช้ได้) นอกจากหนังสือ กับกองกระดาษสมัยเรียนแล้ว เรายังเจอของที่เก็บไว้นาน นานจนกลายเป็นความทรงจำไปแล้ว


ของนั้นคือ......Sketchbook กับผลงานการ์ดูนของเรานั่นเอง อย่างที่รู้ๆ สมัยก่อนเราบ้าการ์ตูนมาก เราไม่ได้อ่านอย่างเดียวนะ วาดด้วยล่ะ มีสังคมเพื่อนทางจดหมายที่เป็นคนรักการ์ตูนเหมือนๆกัน มีสังกัดกลุ่มวาดการ์ตูน ว่างๆก็ส่งการ์ตูน หรือวาดรูปประกวดชิงรางวัล (แต่ไม่เคยได้กะเค้าหรอก เพราะว่าฝีมือเรามันเด็กๆ)

พวกจดหมายของเพื่อนเราทิ้งไปหมดเเล้ว เราเก็บไว้เเต่รูปการ์ตูนที่เพื่อนๆวาดให้ สมัยนั้นก็แปลกเนอะ ทำไมเราต้องวาดรูปส่งให้เพื่อนๆด้วยนะ คิิดเเล้วก็ตลกดี เวลาผ่านไป เพื่อนๆที่ลืมกันไปแล้วจะยังเก็บรูปที่เราตั้งใจวาดให้ ไว้รึป่าวนะ (ที่เเน่ๆ รูปสวยๆที่เพื่อนๆวาดเรายังเก็บไว้ทุกรูปเลย ทั้งรูปสี หรือขาวดำ) พอมารื้อดูก็ทำให้เห็นว่ารูป Original ฝีมือตัวเองมีน้อยมากๆ (เพราะให้คนอื่นหมด) หลังๆเค้าเลยนิยมวาดรูปแล้วซีรอกซ์ให้เพื่อนๆแทน (แน่นอน เรามีรูปซีรอกซ์ฝีมือเพื่อนๆเยอะแยะเลยเเหละ)



รูปฝีมือตัวเอง ใหม่สุดที่มีลงลายเซ็นต์ไว้ปี 2001 (โอ้.....นี่ชั้นไม่ได้วาดรูปมา 9 ปีแล้วเหรอเนี่ย) ดูแล้วก็นั่งอมยิ้ม นึกถึงความทรงจำเก่าๆที่มีความสุข ไว้หาเวลาวาดรูปสวยๆซักรูปดีกว่า

Sunday, May 9, 2010

JRP วันที่ 2 : อิริยาบท & DISC

หลังจากหยุดเรียนไปนานนนน เพราะแยกราชประสงค์ปิด อาทิตย์นี้ก็ได้ไปเรียนอีกครั้ง (จริงๆเป็นการเรียนครั้งแรกเลยนะ)
มีการย้ายสถานที่นิดหน่อย มาจัดการเรียนที่อาคารจัสมินซิตี้ ตรงสุขุมวิท 23 แทน เราไม่ค่อยชอบเลยเพราะว่าแถวนั้นรถติดอ่ะ

วันนี้เรียนเรื่อง อิริยาบท เค้าก็ขอให้ใส่รองเท้าส้นสูง กับกระโปรงมา และเรา...ก็แน่นอน เป็นนักเรียนที่ดีใส่ตามเค้าบอก แต่บางคนไม่เห็นใส่เลย ใสรองเท้าคัทชูเตี้ยติดดิน หรือใส่กางเกงมาก็มี อืม...เราไม่ค่อยเข้าใจเลยอ่ะ สิ่งที่เค้าบอกให้ทำเนี่ยมันมีผลดีกับคุณนะ มันทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพขึ้น ทำไมถึงไม่ทำล่ะ แต่เอาเหอะ เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา

อิริยาบทวันนี้เน้นเรื่องการเดิน เค้าให้เราเดินไปเดินมา แล้วถ่ายวีดีโอไว้ จากนั้นก็มาเปิดวีดีโอให้ดูแล้วบอกว่าใครต้องปรับอะไร และสอนวิธีปรับ รวมถึงสอนการยืน การถือกระเป๋า บลาๆๆๆ โดยส่วนตัวแล้ว เราว่าคลาสนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆกับเราเลย ทั้งๆที่มันเป็นสาเหตุที่เรามาเค้าคอร์สเรียนที่ JRP นะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะจริงๆเรื่องมารยาท อิริยาบท ท่าทางที่ถูกต้องน่ะ เรารู้หมดแล้ว แล้วเวลาออกสังคมเราก็ทำตลอดโดยอัตโนมัติ ตอนอาจารย์ให้ทุกคนยืน เพื่อสอนท่ายืน อาจารย์ยังชมเราเลยว่า เรายืนถูกอยู่คนเดียว เราเรียนรู้เบสิกพวกนี้มาจากไหน ส่วนเรื่องการเดินเค้าก็บอกแค่ว่า เราเดินขากาง ผู้หญิงควรเดินขาเป็นเส้นตรง จะดูดีกว่า (ไม่รู้ว่าเค้าวิจารย์แต่แบบซอฟท์ๆ หรือว่าเรามีปัญหาแค่นั้นจริงๆ)

อาจารย์ยังพูดเลย (จริงๆเค้าพูดตั้งแต่วันปฐมนิเทศน์แล้ว) ว่า บุคลิกภาพน่ะ ขึ้นอยู่กับ สามปัจจัย บุคคล สถานที่/สถานการณ์ และ วัฒนธรรม อยู่กะเพื่อน หรืออยู่ที่บ้าน เราก็สามารถเป็นตัวของเราเองได้ เเต่เวลาออกไปเจอผู้คนเราต้องสามารถทำตัวให้เหมาะสม ให้ดูดีได้ ซึ่ง....เราก็เป็นอยู่แล้ว ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ว่ามีคนบอกบ่อยๆว่าเรา เหมือนคุณหนู ดูมาดดี เนี๊ยบ ขนาดตอนรู้จักกันใหม่ๆ พัฒน์ยังบอกเลยว่าเราดูเป็นคุณหนูที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี (วันนี้ไปเรียน ยังมีน้องคนนึงพูดเลยว่า ผมว่าพี่มาดดีอยู่แล้วนะ) แต่พอสนิทกันเมื่อไหร่เราก็เป็นตัวของเราเอง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณแฟนชอบลุคอย่างงั้นซะนี่ พอเรียนเเล้วรู้เลยว่าเราน่ะทำได้อยู่แล้ว แต่เราไม่ทำเอง เหอๆๆๆๆ

แต่ไม่เถียงว่าถ้าทำได้ตลอดมันก็ดีกว่า เพราะเราไปเดินห้าง หรือไปซื้อส้มตำปากซอยก็อาจจะเจอคนรู้จักได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าทำตัวดูดีได้ตลอดมันก็ดี ตอนนี้ก็ปรับท่าเดินอีกนิดหน่อย (ก็คิดเอาเองว่า) ทุกอย่างก็เพอร์เฟค

กลับมาเรื่องเรียนต่อ แต่เราว่าบางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องสอนนะ เพรายุคสมัยมันเปลี่ยนไป เช่นการถือร่มด้ามยาว ว่าต้องถือยังไง เข้าใจว่าหลักสูตรมาจากเมืองนอก ที่เค้าไปไหน เค้าก็ถือร่มคันยาวๆ เดืนไปเดินมา แต่เมืองไทยมันไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ใช้ร่มคันสั้นๆ พับเก็บในกระเป๋าหรือเป้

พอช่วงบ่ายเรียนเรื่อง DISC ก็เป็นการเรียนรู้ตัวเองน่ะเเหละ ให้ทำแบบทดสอบตั้งแต่คราวก่อน เป็ฯคำถามที่ให้ตอบทันที่โดยไม่ต้องคิดกลั้นกรอง ให้เอาคำตอบแรกที่ผุดมาในหัวเลย เช่น เราเป็นคนแบบไหน อ่อนโยน อ่อนหวาน (จำไม่ได้นะ เเต่เป็นอารมร์ประมาณนี้ มีสองชอยส์ให้เลือก) แล้วก็เอาผลทดสอบมาประเมินว่าเราเป็นคนแบบไหน มีสี่ประแภท D I S C ขี้เกียจลงรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องที่หลายๆคนน่าจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว จากนั้นก็สอนให้เราอ่านผลประเมินของเรา ว่าเราจุดอ่อน จุดแข็งอะไร ควรปรับด้านไหน ซึ่งอาจารย์บอกว่า อย่าหางานที่เหมาะกับผลประเมิน แต่ให้หางานที่เราชอบ ดูว่าเรายังขาดอะไรแล้วก็ปรับให้เข้ากับงานนั้น

ผลของเราคือเราเป็น I โดยรวมๆก็เป็นคนช่างพูด ชอบโน้มน้าว มนุษยสัมพันธ์ดี เเล้วผลก็ออกมาว่าจากความเป็นเราเนี่ย เราชอบทำงานเกี่ยวกับ customer/employee interface ซึ่งเราก็ง๊งงง เพราะเราไม่ชอบนะ เราไม่ค่อยชอบเจอลูกค้า หรือดีลงานกะคนอื่นเท่าไหร่ แต่ใครๆก็ชอบบอกว่าเราน่าจะชอบนะ เพราะเห็นเราทำงานแบบนี้ได้ดี และดูท่าทางเราให้ มาเจอแบบประเมินออกมาอย่างงี้อีก ..... สงสัยจิตใต้สำนึกเรางจะชอบงานแบบนี้จริงๆซะล่ะมั้งงงงงง

เป็นวันที่สนุกอีกวัน หลังจากเรียนจบก็ไปหาหน่องที่โรงพยาบาลสัตว์เอกมัย (เพราะเรามาแถวสุขุมวิทแล้วนี่) ไปนั่งเม๊าท์กะหน่อง ประมาณชั่วโมงนึงก็บ๊ายบาย ไปทำธุระต่่อ นานๆเจอเพื่อนก็ดีเหมือนกัน

ลากันด้วยหมาบ้านหน่อง ชื่อน้อง ส้มหวาน น่ารักเนอะ เป็นยอร์กเชีย ผสมกะ ปอม

Sunday, May 2, 2010

Hula Hoop !!

วันนี้แม่เอาห่วงฮูลาฮูปกลับบ้านมา แกบอกว่าจะมาบริหารลดพุง เราเลยลองหัดเล่นกะเค้าด้วย เล่นยังไม่ค่อยเป็น ส่ายได้ไม่กี่ทีก็ร่วง เล่นไปก็นึกถึงเพลงเซ็กซี่ของพาราดอกซ์ ที่พอลล่าสุดที่รักของเราเล่นเอ็มวี

ตอนนี้หัวใกล้เคียงกะน้องพอลล่าในเอ็มวีล่ะ (ทรงคล้ายๆกัน) แต่หุ่นต้องปรับปรุง 555

Saturday, April 24, 2010

เราแก่แล้วเหรอเนี่ย

จริงๆไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่ หรืออายุมากเเต่อย่างใด ก็ยังรู้สึกว่าเด็กอยู่ ถึงแม้ที่ทำงานคนจะเริ่มเรียกเราว่าพี่กันเยอะขึ้น

มาเริ่มรู้สึกก็เมื่อวันพฤหัสนี่เอง

เหตุที่หนึ่ง ขณะเตรียมตัวไปนั่งดื่มเหล้า เคล้าเสียงเพลงกะเพื่อนสาว

เพื่อน K : แกรู้มั้ยตอนนี้พวกน้อง X เค้าเรียกแก๊งเราว่า แก๊งบางแค
บุ๋น : อะไรวะ แก๊งบางแค
เพื่อน K : ก็เป็นแก๊งสาวแก่ ไม่มีคู่ ขาดคนดูแล เหมือนบ้านบางแค
บุ๋น : .......

แก๊งเรายังไม่มีใครเเต่งงานน่ะ มีคนมีแฟนบ้างประปราย เเต่ก็ทำตัวเหมือนคนโสดกันตะลอนๆเที่ยวไปเรื่อย แถมวัยเฉียดสามสิบ จนถึงสามสิบต้นๆ

เหตุที่สอง ขณะกำลังนั่งกินเหล้าฟังเพลง

เพื่อนคนไหนไม่รู้ มึนจำไม่ได้ : ตอนเด็กๆชั้นเคยคิดนะว่าพวกที่มานั่งร้านฟังเพลง กินเหล้าเฉยๆเนี่ยเป็นพวกคนแก่นะ เดี๋ยวนี้เป็นซะเอง
เพื่อนอีกคน : เออใช่ ตอนเด็กๆนะ ต้องไปร้านแดนซ์กระจาย เต้นกันทั้งคืน ต่อมาก็ แดนซ์บ้างนั่งบ้าง เดี๋ยวนี้...นั่งฟังเพลงอย่างเดียว เปลี่ยนแนว
บุ๋น : .......

อืม.....น่าคิด เราเริ่มแก่เเล้วเหรอเนี่ย

Monday, April 19, 2010

everything are cancelled !!!

ด้วยสถานการณ์บ้านเมือง John Robert Power ของดิชั้นเลยงดคลาสเรียนไปสองอาทิตย์ จะเปิดอีกที 8 พค
คลินิคทำหน้าดิชั้น (อยู่ที่ CTW เหมือนกัน) ก็เลยปิดไปด้วย

ด้วยภัยธรรมชาติ หมอฝังเข็มของดิชั้นติดอยู่ยุโรป (หมอเอี่ยวน่ะเเหละ) กลับมาไม่ได้ คลินิคเลยปิดยาวถึงวันศุกร์ (โดยประมาณ)


แล้วจะทำไรดีเนี่ย ไม่มีนัดเลยอาทิตย์นี้ ให้ตายเหอะ

Sunday, April 18, 2010

I'm back

เกือบไปแล้วเชียว เกือบต้องติดอยู่ที่ปารีส เพราะเหตุภูเขาไฟระเบิดที่ ICELAND ก็ว่าอยู่ว่าแปลกๆ ทำไมคืนวันที่เรากลับ (15 Apr 2010) สายการบินcancelเยอะมาก แถมบางสายการบนจะบินก่อนเวลาอีก เช่นสายการบิน Qatar ที่เราจะบินกลับไทยนี่แหละ แบบว่าเดินเล่น ชอปปิ้งอย่างเดียว ไม่ได้ติดตามข่าวสารอะไรเลย (รู้เเต่ข่าวนายกโปแลนด์เครื่องบินตกอย่างเดียว เพราะ CNN ออกทุกวัน) มาถึงเมืองไทยเพิ่งรู้ว่า เพราะอะไรสนามบินถึงวุ่นวายขนาดนี้


กลับมาก็เป็นโรคฮิตของคนเดินทาง เจ็คแลค ครับท่าน มาถึงเมืองไทย หกโมงวันศุกร์ (จริงๆตามตารางต้องหนึ่งทุ่ม แต่เครื่องบินรีบทำเวลา) คืนวันศุกร์ นอนไม่หลับ !!!! กว่าจะหลับ ตีสาม วันเสาร์ตื่นเที่ยง เหอๆๆๆ วันอาทิตย์ก็ยังเป็น เเต่บังคับตัวเองนอนห้าทุ่ม ตื่นมาสิบโมงเพราะพัฒน์โทรมาคุยด้วย (ไม่งั้นก็คงยังไม่ยอมลุกเเน่ๆ)

ณ.วันนี้ วันอาทิตย์ ห้าทุ่มกว่าเเล้วยังไม่ง่วงเลย เเย่เเน่ๆ ต้องรีบไปข่มตานอน เดี๋ยวจะไปทำงานพรุ่งนี้ไม่ไหว

โอย....คิดถึงวันพรุ่งนี้เเล้วแอบเครียด งานเยอะมากกกกก (เพราะทิ้งงานไปอาทิตย์นึง งานค้างก็เยอะ งานใหม่ก็มี โอยๆๆๆๆๆ)

Saturday, April 3, 2010

My long vacation

หนีร้อนไปหนาวดีกว่า ไปเที่ยวยุโรปค๊าบบบบบบ ขึ้นเครื่องเย็นนี้ กลับมาวันที่ 16 เมษาจ้าาา จบข่าว

Sunday, March 28, 2010

JRP วันที่ 1 : ปฐมนิเทศน์

อย่างที่เพื่อนๆรู้ เราไปลงเรียนอบรมบุคลิกภาพที่ John Robert Power เมื่อวานเป็นวันปฐมนิเทศน์ ก็เลยจะมาเล่าสู่กันฟังว่าเป็นยังไงมั่ง (ฟังดูเหมือนเพื่อนเยอะมาก จริงๆเพื่อนที่เข้ามาอ่าน blog นี้ มีไม่กี่คน อิอิ)



ก่อนวันปฐมนิเทศน์น่ะ เราถามพนักงานเเล้วว่า ต้องเเต่งตัวยังไง เค้าบอกว่า เเต่งตัวสุภาพ ตามสมัยนิยม งดใส่รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้นเสื้อแขนกุดมาเรียน เเต่ใส่ชุดแซกได้ เราก็ อืม...เเต่งตัวชุดทำงานของเรา เพราะเค้าบอกว่าสุภาพตามสมัยนิยมนี่หว่า

เราใส่แบบนี้ (นี่จากในห้องเรียนนะ)


เสื้อยืดแขนยาวสีฟ้า กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าส้นสูงสีดำ พันผ้าพันคอสีดำ กะพกเเจ๊กเก็ตสีดำมาเผื่อหนาว เเต่มาถึงเจอเเบบว่าเสื้อยืดกางเกงยีน (ผู้ชาย) เสื้อตัวยาวกางเกงขาสั้น (ผู้หญิง) เจอน้องคนนึงเสื้อยืดกะแจ๊กเก็ตยีนออกเเนวเซอร์ๆ) เเต่เราคิดเอาเองว่าคนพวกนี้คงไม่ได้ถามเจ้าหน้าที่ล่ะมั้งว่าต้องเเต่งตัวยังไง หรือไม่ก็ไม่เคยไปอบรมสัมมนาที่ไหน

พอนั่งคุยกัน ก็เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ บางคนทำธุรกิจส่วนตัวของที่บ้าน เเม่สมัครให้เรียนก็มาเรียนไม่รู้เรื่องอะไร บางคนก็เป็นนักศึกษาเพิ่งจบ เเต่ที่เเน่ๆ ทุกคนลูกคนรวยทั้งนั้น เพราะจากที่คุย มีธุรกิจส่วนตัว ต้องบริหารงานที่บ้าน ก็เลยให้มาเรียน จบโรงเรียนคุณหนูๆมา นามสกุลอยู่ในเเวดวงสังคม โอ๊ย มากมาย อย่างว่าเเหละค่าเรียนมันแพง แถมเรื่องบุคลิกภาพ มารยาท การเข้าสังคม คนที่คิดว่าจำเป็นก็จะเป็นคนในอีกระดับหนึ่ง

เข้าเรื่องๆ ตอนปฐมนิเทศน์เจ้าหน้าที่ก็พูดเรื่องกฎระเบียบ ขาด ลา มาสาย การเเต่งตัว จริงๆในคู่มือบอกว่าเสื้อยืดก็ให้งดนะ เเต่ตอนเค้าพูดน่ะ ก็พูดเเค่ ขาสั้น แขนกุด รองเท้าเเตะอ่ะ ตกลงเสื้อยืดนี่อนุโลมใช่มั้ยเนี่ย (ตอนเเรกเราก็คิดว่าเราคงเเต่งตัวไม่เหมาะสม เเต่เค้าไม่ได้พูดถึงเสื้อยืดเลยอ่ะ) กางเกงยีนถ้าจะใส่ก็ต้องงดสีอ่อน หรือยีนขาดๆนะ

วันนี้เค้าพูดเรื่องจิตวิทยาบุคลิกภาพ อาจารย์คือ อ.ปรัชญา ปิยมโนธรรม (เขียนไงไม่รู้) คุยกะฟ้า ฟ้าก็รู้จัก แถมเนื้อหาที่เรียนฟ้าก็รู้เรื่อง (ก็เรียนจิตวิทยานี่หว่า) เพื่อนฟ้ายังเปรยๆเลยว่า ไปรับจ๊อบเเบบนี้มั่งน่าจะดี

ก็เรียนพวกหลักของ id ego superego แหละ นอกนั้นก็เป็นกิจกรรม ให้เล่าพวกความประทับใจ เรื่องเลวร้าย สิ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ให้เพื่อนๆฟัง เเล้วให้เพื่อนๆบอกว่าเราเป็นคนยังไง ให้สะกดจิตตัวเอง โดยเขียนจุดมุ่งหมายในอีก 5 ปี ว่าเราอยากจะประสบความสำเร็จเรื่องไหน (ที่จะเรียนที่นี่นะ รูปกายเสื้อผ้าหน้าผม ท่าทีอิริยาบท เจตคติการมองโลกและปรับตัวทางความคิด อรมณ์ พฤติกรรม และ เรื่องสุดท้าย การสื่อสารเเละทักษะทางสังคม) แล้วก็พูดให้เพื่อนฟังว่าเรามองเห็นเราในอนาคตอีกห้าปีนั้นน่ะเป็นยังไง ประมาณนั้น

ก็ดี สนุกดีนะ รอดูว่าวันอื่นๆจะเป็นยังไง ชอบที่นี่อย่างคือ ตารางเรียนเเล้วเเต่เรา จะมาวันไหนบอกเค้า เค้าจะลงวิชาให้ ดูไฮโซดี (อย่างว่าค่าเรียนแพง)

Thursday, March 25, 2010

อยากสวย ดูดี ต้องอดทน

ร้อนนนนนนนน อากาศร้อนมาก ชุดประจำตัวของเราเวลาหน้าร้อนคือ เสื้อกล้าม แต่...ตอนนี้มีความจำเป็นบางอย่างทำให้ใส่เสื้อกล้ามไม่ได้ เเม้กระทั่งเสื้อเเขนสั้นก็ไม่ได้ ต้องใส่เเขนยาวตลอด เฮ้อออออออ

อดทนไว้ เเค่เดือนเดียวเอง เดี๋ยวก็ใส่ได้เเล้ว อยากสวยต้องอดทน และต้องยอมร้อน ฮืออออออ

Monday, March 22, 2010

กล้องใหม่ ?

น้องโซนี่ อาการร่อแร่เจียนตาย เราเลยต้องเล็งหากล้องใหม่ จะซื้อ canon 500D เเต่พัฒน์ไม่อยากให้ใช้ บอกให้ใช้ canon G11 หรือพวกกล้องคอมเเพคที่หรูๆหน่อยก็พอ อืม....เเต่เพิ่มเงินไม่มากมันก็ได้ DSLR แล้วอ่ะ อยากได้ๆ
เเต่ก็ไม่อยากทำให้พัฒน์เสียน้ำใจ เพราะเค้าชอบบอกเสมอๆว่าเราดื้อ บอกไรไม่เคยฟัง ทำอะไรก็ไม่ค่อยบอก ไม่ค่อยปรึกษา เง้อ....เอาไงดีฟะ


คนเราควรจะแคร์ความรู้สึกของตัวเองที่สุด จริงมั้ย งึมงัมๆ


รูปนี้เเต่งเอง ลองเเต่งเเบบโลโม่ดู ชอบบบบบบ (เเต่คงไม่ซื้อกล้องโลโม่ รู้สึกว่าไร้สาระไปนิด แต่งเองในคอมก็ได้)

Sunday, March 21, 2010

shopping อีกแล้ว

เหอๆๆๆ เซ็นทรัลลาดพร้าวเซลล์กระหน่ำเพราะกำลังจะปิดปรับปรุง 6 เดือน เรามี cash voucher ที่ได้จากชอปปิ้งคราวก่อน 1,000 บาท ได้ Gift voucher จากจับฉลากตอนกีฬาสีมาอีก 200 บาท รวมเป็น 1,200 บาท เอาไปซื้อไรดีเนี่ย

ห้างมันจะปิดเลยต้องรีบไปชอป อิอิ ของที่ได้มาก็.....

กางเกงยีนขายาวสีแดงแปร๊ดดดดดด ของฮาร่า (รูปค่อนข้างจะเห่ยเพราะถ่ายจากบีบี)




หมวกสีแดงของจีออดาโน่ เอามาทดเเทนน้องอาราเล่ที่หายไป



ซื้อมาก็ไม่รู้จักคิด ช่วงนี้มันมี Red shirt นี่หว่า เเล้วตูจะได้หยิบมาใส่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย เซ็งว่ะ

อยากใส่เร็วๆอ่ะ

Monday, March 15, 2010

อารมณ์ดี

ช่วงนี้ชีวิต Happy มีความสุข อิอิ

ลองคุยกะพัฒน์เรื่องคุณเเม่ พัฒน์บอกว่าอย่าไปสนใจมาก แม่เค้าบางทีคิดเเปลกๆ หรือพูดจาแปลกๆ (ไม่ได้นินทาคุณเเม่นะ คือเราคุยเพราะอยากเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด) เเล้วก็คุยโน่นนี่กัน ก็ทำให้เราสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะ

แถมวันนี้ก็มีอะไรดีๆ ช่วงนี้ช่างสุขใจจริงๆ อิอิ

Wednesday, March 10, 2010

shopping ไม่เลิก

สมัยเรียนป.โท กิจกรรมยามว่างอย่างนึงของเราคือ....ชอปปิ้งออนไลน์ สมัยนั้นน่ะ ติดการซื้อของในอินเตอร์เน็ตมาก (เเต่เคยซื้อเฉพาะของในไทยนะ) หลังจากนั้นก็ห่างหายไปนานมากๆ เพราะพอทำงาน ...พูดง่ายๆว่าเริ่มมีตังก์น่ะเเหละ
พอเริ่มมีตังก์เราก็ชอบจะไปซื้อของตามห้างมากกว่า เพราะได้ลอง ได้เห็น ได้จับ ไม่ต้องมารอลุ้นว่าจะเวิร์กรึป่าว

เเต่อาทิตย์นี้ไม่รู้เป็นไง หลังจากเดือนที่เเล้วเป็น shopaholic ไป เดือนนี้ก็ยังไม่เลิก อาทิตย์ที่เเล้ว ซื้อของในเน็ตไปสามอย่าง เสื้อ กระเป๋า รองเท้า เง้อ........

เเต่ชอบรองเท้ามากกกกกกกก เลยอยากเอามาลงในนี้ เราไปซื้อรองเท้าบู้ทมือสองมา ทดเเทนคู่เก่าที่หนังมันพังไปแล้ว จริงๆเราอยากได้บู้ทสีดำ เเต่มันเป็นของมือสองนี่เนอะ ไม่มีให้เลือก เเล้วเเต่ของจะมี

เป็นบู้ทสีนำตาล สูงสามนิ้ว น่ารักมากๆ สภาพใหม่เอี่ยมเลย พื้นไม่สึก (ไม่รู้ว่าเเม่ค้าเค้าเปลี่ยนพื้นมารึเปล่า) คู่ละ 400 บาทเอง

รูปจากในเว็บ (เราซื้อจากร้านตามชื่อนั่นเเหละ)



อันนี้เราใส่ เเบบว่าเห่ออ่ะ น่ารัก (ชุดอาจไม่เข้าเท่าไหร่ เพราะเเกะกล่องพัสดุปุ๊ป ลองปั๊ป)








อันนี้เสื้อที่ซื้อมาจากอีกร้านนึง ชอบเหมือนกัน ผ้าหนาดี ใส่ไปเที่ยวยุโรปเดือนหน้าได้เลย



อีก 20 วันที่เหลือ จะชอปอะไรอีกมั้ยเนี่ย

Saturday, March 6, 2010

my new look

เปลี่ยนลุคใหม่อีกเเล้ววววววว หุหุ น่ารักป่าวล่ะ




ผมยาวสลวยสวยเก๋ จริงๆแล้วมันคือวิก ถอยวิกมาใส่เล่นขำๆ แต่ใส่เเล้วน่ารักดี เพื่อนบอกว่าดูเหมือนนักศึกษาเลยรูปนี้ (เพราะเสื้อขาว เเละทรงผมยาวตรงเหมือนนักศึกษา)

Monday, March 1, 2010

ผู้ใหญ่เข้าใจยาก ว่ามั้ย

จริงๆว่าไม่อยากจะพูดเรื่องเเบบนี้ในบล๊อกแฮะ เเต่ว่ารู้สึกอยากระบายออกมาอ่ะ

เราอ่านเเม่แฟนเราไม่ออกอ่ะ เราไม่รู้ว่าเพราะเค้าไม่ใช่คนไทย การกระทำ การแสดงออกก็เลยแปลกๆ หรือจริงๆเเม่คนอื่นเค้าก็เป็นกันอย่างงี้เเหละก็ไม่รู้

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเราไปช่วยพัฒน์ทำงาน ขอเล่าหน่อย คือ เค้าน่ะ หุ้นกับคนในมูลนิธิเปิดร้านขายอาหารเจที่เชียงใหม่ โดยที่ชั้นล่างจะเป็นร้านอาหารเเละชั้นบนห็จะเป็นสำนักงานของมูลนิธิประจำภาคเหนือ เมื่อวานเป็นวันเปิดร้าน เค้าอยากให้เราไป ชาวมูลนิธิที่เชียงใหม่ก็อยากจะเจอเรากันทั้งนั้น (อันนี้เว่อไปนิด เเต่ก็หลายคนอ่ะบอกว่าอยากเจอ) เราก็เลยไป

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เราอยู่กะแม่พัฒน์นานๆ แบบสองต่อสอง (วิดวิ้ว......) ทำให้...เราโดนคำถามมากมาย เวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้เราจะกดดันเล็กน้อยอ่ะ เพราะเรากลัวว่าจะพูดอะไรไม่ดีออกไป

ทุกครั้งที่อยู่กันสองคน เเม่จะถามว่า รับได้เหรอ ที่มีแฟนเป็นแบบนี้ (มาทำงานมูลนิธิ ไม่ค่อยอยู่บ้าน เดินทางตลอด เวลาไม่มีให้) คือ.... ถ้าถามเเค่ครั้งเดียวเราก็ไม่งงหรอกนะ เเต่นี่ถามทุกครั้งเลยอ่ะ ซึ่งเราก็บอกไปว่า เราเฉยๆ เรารับได้ ไม่เห็นเป็นไร ก็เเค่เหมือนเค้าไปทำงานต่างจังหวัด เเล้วก็ยิ้มๆ ก่อนหน้านี้เค้าก็ถามเราเรื่องเเต่งงาน ว่าคบกันมาตั้งนานเมื่อไหร่จะแต่ง พอเราบอกว่าพัฒน์เค้ายังไม่อยากเเต่ง เเม่เค้าก็ถามเราว่า เเล้วเรารอได้เหรอ

เราก็ดีใจนะที่เค้าถามเราเเบบนี้อ่ะ เเต่พอบ่อยๆ เราก็เริ่มรู้สึกว่า หรือเค้ามีเจตนาแอบแฝงหว่า แบบว่าให้เรารู้สึกว่าอย่าทนเลย เสียเวลา (เราเริ่มฟุ้งซ่านเเล้วอ่ะ)

ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์เค้าก็ถามเราเเบบเดิม ว่ารับได้เหรอ เราก็บอกว่ารับได้ เราไม่มีปัญหา เเต่เราอยากให้เเต่งงานมากกว่าจะอยู่ในสภาพแบบนี้ เพราะอยู่อย่างงี้มันก็ดูไม่รู้ว่าจะเค้าจะเอายังไง บางทีเราก็กลัวนะว่าเค้าทำงานเเบบนี้ จะเจอคนที่ทำงานด้วยกัน สนิทกันมากๆ เเล้วจะกลายเป็นผูกพันไป (เพราะงานมูลนิธิมันจะต้องอยู่ด้วยกัน ตลอดไง บางทีไปต่างจังหวัด ไปอะไร ต้องลำบากต้องเหนื่อยด้วยกัน) เเม่พํฒน์ก็บอกว่าก็ไม่มีใครหรอก ก็มีเเต่คนนั้นน่ะเเหละ (คนที่เราสองคนรู้กันว่าใคร) คือเป็นน้องในมูลนิธิอ่ะที่เราเคยบ่นไปตอนอยู่ใน space ว่ามาจุ๊กๆจิ๊กๆ เค้าทำงานด้วยกันตลอด เหมือนเป็นทีมเดียวกันน่ะ จะเจอกันทุกงาน เเล้วเป็นพ่องานเเม่งานด้วยกันตลอด เเม่เค้าบอกว่าเคยคุยกะพัฒน์เหมือนกันว่าระวังหน่อยนะ เรามีแฟนเเล้ว อย่าไปสนิทมากมันไม่ดี บลาๆๆ เเต่พัฒน์ก็บอกเเม่เค้าว่า ไม่ได้คิดอะไร เค้าไม่ได้ชอบน้องคนนั้น เเม่พัฒน์ยังเคยคุยกะน้องคนนั้นด้วยว่าเเม่เห็นเราเหมือนลูกสาว ก็ไม่อยากให้เสียใจ ไม่อยากให้ผิดหวัง เค้าคบกันมาตั้งนานเเล้ว เเล้วไม่ใช่ประเภทเจ้าชู้เปลี่ยนสาวบ่อย หรือควงใครประเดี๋ยวประด๋าวหรอก เค้าคงไม่เลิกกันง่ายๆหรอก เค้าไม่ชอบเราอยู่ไปก็เสียเวลา เสียใจด้วย (เราฟังเเล้วเราก็กะลังงงๆ ว่าตกลงน้องเค้าชอบเเฟนเราเหรอฟะ เเม่พูดเหมือนเค้าเเอบชอบเเฟนเราเลยอ่ะ)

คนในมูลนิธิทุกคนก็รู้่ว่าพัฒน์กะบุ๋นเป็นแฟนกัน พัฒน์ก็บอกทุกคนว่ามีเเฟนเเล้ว เเละหลายๆคนก็เคยเจอเรา (เพราะถ้ามีโอกาสเราก็ไปช่วยตลอดไง) ผู้ใหญ่หลายคนก็มาพูดให้เเม่ฟังนะ เรื่องสองคนนั้น (พัฒน์กะน้องคนนั้น) เเต่เค้าก็รู้ว่าพัฒน์มีเเฟนเเล้ว ไม่มีอะไรหรอก (ยิ่งฟังก็ยิ่ง...ตกลงมันเเอบชอบแฟนตูป่าววะ ยิ่งฟังเเม่ก็ยิ่งงง) เเต่เเม่บอกเลยว่า พัฒน์เค้าไม่มีใครนะ เค้าไม่ใช่คนเจ้าชู้ที่ผ่านมาเค้าก็มีบุ๋นคนเดียว อืม......

จากนั้นก็คุยสัพเพเหระ เรื่องอาม่า เรื่องบ้าน เรื่องมาช่วยงานมูลนิธิ โน่นนี่นั่น สุดท้ายคุยไปคุยมา แม่บอกว่า ยังไงก็ถ้ามีอะไรที่ดีกว่าก็ลองดูนะ ........ (เราจำคำพูด ที่เเน่ชัดไม่ได้ เเต่อารมณ์ประมาณนี้) เราก็เลยอึ้งๆ ว่าเอ....หรือที่เเม่พูดมาทุกครั้ง คือ ต้องการจะสื่อว่า อย่าทนเลย รับได้เหรอ แฟนไม่มีเวลาให้ ไปซะเถอะ อะไรแบบนี้ฟะเนี่ย (เฮ้อ....ฟุ้งซ่านว่ะ ไม่เข้าใจว่าเค้าต้องการจะบอกอะไรเรา)

แถมตอนเเม่จะกลับ แม่ให้เราเงินเรามาอีก เค้าบอกว่าค่าเดินทางของเรา (มาเชียงใหม่ ค่าใช้จ่ายสูงอ่ะ) เราก็ไม่เอา ยื้อกันอยู่แป๊ปนึง เราก็รับมาตามมารยาท (ก็เค้าให้มานี่) เเล้วเเม่เค้าก็บอกว่า รับไปเถอะ คราวหน้าจะได้มาช่วยกันอีก ฟังเเล้วงงป่ะ ถ้าเป็นคนไทยอ่ะ พูดอย่างงี้คราวหน้าจะไม่กล้ามาอีกนะ เหมือนกับว่ามาอีกเค้าก็ให้เงินอีก เเต่พอเเม่เค้าไม่ใช่คนไทย เราก็เลยตีความหมายไม่ออกว่า อยากให้มาเเต่ไม่อยากให้เราต้องรับภาระเรื่องค่าใช้จ่าย หรือว่าจริงๆเเล้วไม่อยากให้มา งงอ่ะ


ป.ล. เเต่คนในมูลิธิคนนึง เค้าคุยกับเรา เเล้วบอกว่าคู่เราน่ารักมากเลย เค้าเห็นเเล้วเค้ารู้เลยว่าพัฒน์รักเรามาก คอยดูเเลเทคเเคร์ตลอด นั่งๆทำงานก็เอาน้ำมาให้ คอยมาถามว่าเหนื่อยมั้ย มาจับเสื้อให้ นวดมือให้อะไรอย่างงี้
เราก็รู้นะว่าเค้ารักเรามาก (ฟังดูน้ำเน่ามะ ความรักมองไม่เห็นด้วยตา เเต่รู้สึกได้ด้วยใจ ฮิ้วววววว) เเต่เวลาเรารู้สึกเองว่าเค้ารัก กับที่คนอื่นเค้าสังเกตเราสองคนเเล้วมาบอกแบบนี้เนี่ย ฟังเเล้วมันต่างกันมากเลยนะ จะบอกให้ รู้สึกดีจังเลย ^ ^ ขอลงเพลงนี้หน่อยนะ

Thursday, February 11, 2010

Month of Shopaholic

เดือนนี้ซื้อของเยอะมากกกกกกก ฉลองเงินเดือนขึ้น (เเต่ใช้มากกว่าเงินเดือนขึ้น 5-6 เท่าได้)

จริงๆตอนปีใหม่พี่สาวที่รัก ตัดสินใจปิดกิจการร้านเสื้อผ้า เเละด้วยความรักที่มีต่อน้อง ก็เลยหอบเสื้อผ้ากองเท่าภูเขา (เสื้อประมาณ 20 ตัวได้) มีทั้งสูท เสื้อยืด ชุดเเซกลำลอง ชุดเเซกไปงาน เสื้อหวานๆ ดูจากป้ายราคาที่พี่สาวไม่ได้แกะออก มูลค่าเป็นหมื่น ต่ำสุดที่เห็นคือตัวละ 450 ซาบซึ้งกะพี่สาวมาก แทนที่เค้าจะเอาไปฝากเพื่อนขายที่ร้านอื่นกลับเอามาให้เรา เเถมเราจะจ่ายตังก์ก็ไม่เอา นอกจากเสื้อเเล้วก็ยังมีกำไลเเละสร้อยอีกถุงเบ้อเริ่มเลย

หลังจากได้ของมาก็ตั้งปณิธานว่าจะไม่ชอปอะไรไปอีกนาน แต่...ผ่านไปหนึ่งเดือนเท่านั้น

อาทิตย์ที่เเล้วซื้อครีมบำรุงผิวที่หมดพอดี บวกกับซื้อกันแดด และ ดินสอเขียนขอบตา หมดไป สามพันกว่าบาท

เมื่อวันจันทร์ไปเดินเซ็นทรัล MNG เซลล์ 70% ได้กางเกงเซลล์มาหนึ่งตัว กางเกงไม่เซลล์อีกสองตัวไว้ใส่ทำงาน หมดไป 3900 เดินต่อไปชั้นใต้ดินอยากได้เสื้อเชิ๊ตทำงาน เพราะตอนนี้เลื่อนตำเเหน่งอยากแต่งตัวเเบบดูดีขึ้น ดันได้เสื้อชีฟองหวานๆ กับกี่เพ้ามาหนึ่งตัว หมดไป 1200

วันอังคารไปซื้อรองเท้าใส่ไปเที่ยวยุโรป ประมาณ 2400 แถมซื้อมา แม่ไม่ปลื้ม คงต้องไปหาซื้อใหม่

เฮ้อ.......ยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลยอ่ะ ชอปอะไรนักหนาเนี่ยเรา

Sunday, January 24, 2010

ปีใหม่ ผมทรงใหม่

ปีใหม่ทีไร เราเปลี่ยนทรงผมทุกทีไม่รู้เป็นไร ปีนี้ก็เอาอีก จริงๆตั้งใจว่าจะยืด แต่ว่าร้านไม่เเนะนำ กลัวผมเสีย แถมโดนบางคนบ่นว่า ประหยัดซะมั่ง ก็เลยไม่ไปร้านประจำที่ตัดครั้งละ 700 บาท แต่ไปร้านเเถวที่ทำงาน ตัดครั้งละ 150 บาท แทน หุหุ (ตัดไม่สวย ห้ามบ่นด้วย เพราะบอกเองว่าให้ประหยัด)

Bfore (พยายามจะหารูปที่ดูดีกว่านี้ เเต่ว่าพักนี้ไม่เคยปล่อยผมถ่ายรูปเลยอ่ะ)



ผมยาวมากๆๆๆ ถ้าไดร์ตรงก็ยาวเกือบกลางหลังได้เเล้ว ข้างหน้าก็ยาวเท่ากัน ไม่เป็นทรงอะไร เราก็เลยไปตัดออก เพราะผมเสียมากด้วย จะได้เลี้ยงใหม่ เเล้วขอให้ช่างเค้าตัดเป็นทรงที่หัวพองๆหน่อย เพราะผมเราค่อนข้างลีบ ออกมาได้เป็นอย่างงี้

After

ผมสั้นไปเยอะมาก เบาหัวสุดๆ ดูเป็นทรงขึ้น เเต่ยังเป็นผมดัดอยู่เพราะว่าไม่ได้ยืด พอผมสั้นก็ดูหน้าบวมเล็กน้อย เเต่ก็ชอบนะ ดูเด็กดี อิอิ

ดูๆไปเริ่มคล้ายทรงน้องพอลล่าที่อยากได้ซะด้วยซิ ชอบบบบบบบ

Saturday, January 23, 2010

สมุดบันทึกช่วยจำ แหลกว่านี้มีอีกมั้ย (บทสรุป)

หลังจากเลิกไปซักพัก เอมันก็โทรมาหาเรา บอกว่าจะไปขุดทองที่เบลเยี่ยม เพราะมีเพื่อนอยู่ที่โน่น เราก็งงๆ เรียนก็ยังไม่จบ พ่อเเม่ก็ไม่ได้จะรวย แล้วพ่อเเม่จะอยู่ยังไง เเต่มันบอกว่ายังไงๆ มันก็จะไป จำเนื้อหาที่คุยไม่ได้เเล้ว เเต่ใจความประมาณว่า เลิกกะเราเเล้วช้ำมาก อยู่ไม่ได้ ไม่สนใจใครเเล้ว พ่อเเม่พี่น้อง เราก็....ไม่สนใจ เรื่องของมัน ถ้าช้ำรักเเค่นี้ เเล้วยอมทิ้งอนาคตก็เรื่องของแก ไม่ใช่เรื่องของชั้น

ตั้งเเต่เลิกกันไป มันไม่เคยมาง้อเราเลยนะ ไม่เคยมาขอคืนดี เเล้วมันจะมาบอกว่าช้ำรักมากกกกก เราว่ามันดูตลกไปหน่อย

วันนึงมันก็โทรมาลาเรา บอกว่าจะไปเบลเยี่ยมเเล้ว (ถ้าจำไม่ผิด คือเดือนสิงหา) เราก็บ๊ายบายมันอ่ะนะ

วันต่อมา ...หรือกี่ชั่วโมงผ่านไปก็ไม่รู้ เราออนเอ็ม เอมันก็มาทักเรา พิมภาษาไทยเลยนะ บอกว่าอยู่ที่สนามบินเบลเยี่ยม รอเพื่อนมารับหรือไงเนี่ยเเหละ เราก็คุยกะมันนิดหน่อย เเล้วมันก็ถามเราว่าเมืองไทยกี่โมงเเล้ว เราก็บอกเวลาไป เเล้วถามมันกลับว่า ที่โน่นกี่โมง มันก็ออกเอ็มไปเลย

วันรุ่งขึ้นเราก็ไม่ได้สนใจอะไร พอวันถัดมาเราคุยกะหมี
"หมีรู้เรื่องที่เอไปเบลเยี่ยมใช่ป่ะ"
"ไปเบลเยี่ยมอะไรเหรอ งง เมื่อวานมันยังมามหาลัยอยู่เลย"
"...."

หลอกตูเหรอเนี่ย เราเลยกระหน่ำโทรเข้ามือถือมัน เครื่องยังเปิดอยู่นะ เเต่มันไม่รับโทรสับ ตอนกลางคืนเราออนเจอมันในเอ็ม ก็เลยเข้าไปทัก มันยังเนียนนะ บอกว่าอยู่เบลเยี่ยม (คนเรา....) พอเราบอกว่ายอมรับมาซะว่าไม่ได้ไปไหน เรารู้ความจริงหมดเเล้ว มาหลอกเราว่าไปเบลเยี่ยม มีอย่างเหรอ บอกว่าไปวันนี้เเต่อีกสองวันก็มามหาลัยซะเเล้ว ถ้าไปตามที่บอกจริงๆตามเวลาเเล้ว ไปถึงสนามบินเบลเยี่ยมปุ๊ปก็นั่งเครื่องบินกลับเลยเนี่ยนะ แกจะบ้ารึไง มันยังมีหน้ามาตอบว่า ใช่ เราไปถึงเบลเยี่ยมเเล้วก็นั่งเครื่องกลับมาเลย

เราเลยไม่คุยกะมันอีกเลย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีคนมาแอด MSN เรา คนที่มาแอดก็คือ น้องเจ นั่นเอง ระหว่างที่เรากะลังงงๆว่า น้องเจ มาแอด MSN เราทำไมหว่า น้องเค้าก็เล่าให้เราฟังว่า..
"เจอยากเคลียร์กับพี่บุ๋นมากเลยค่ะ"
"เคลียร์เรื่องอะไรเหรอ"
"เรื่องที่พี่เอไปเบลเยี่ยมเพราะเจ"
"....."

เอน่ะ กึ่งๆว่าไปจีบเจ ไปหาถึงหอที่ธรรมศาสตร์ ทั้งๆที่รู้ว่าเจก็มีแฟนเเล้ว แล้วก็บอกเจว่า บุ๋นเนี่ยร้ายมาก นิสัยไม่ดี ขี้วีน ขี้โมโห บลาๆๆๆ แล้วบุ๋นก็ชอบคนรวย ที่เลิกกะเอ เนี่ยเพราะว่ามีหนุ่มใหม่ขับ BM (มันปั้นน้ำเป็นตัวได้สุดยอดมาก) พอเลิกกะบุ๋น เอก็บอกว่าชอบเจ เเต่เจปฏิเสธ เอก็เลยโคตรช้ำรัก เพราะเจไม่รับรักเอ เอก็เลยไปเบลเยี่ยมดีกว่า ก่อนไปก็โทรมาหาเจ บอกว่าให้มาหาหน่อย จะยกรถของเอให้เจ แต่เจไม่ไป

ที่เจได้อีเมลล์เรามาเนี่ย เพราะว่า "ดี" เพื่อนของเอออนไลน์ MSN ด้วย log in ของ เอ เเล้วมาคุยกะเจ เจก็เลยขออีเมลล์เรามา เพราะอยากคุยด้วยเรื่องของเอ

จริงๆเราก็รู้นะว่า เอ มีเพื่อนรักชื่อดี เป็นเพื่อนเก่า แต่ว่าเราไม่เคยเห็นหน้า (มาคิดๆดูเเล้ว ไอ้ดีเนี่ย มันมีตัวตนป่าววะ)

ดียังบอกอีกว่า จริงๆน่ะ เอมันก็มี BM นะ เเต่มันไม่ขับ เพราะมันอยากให้ผู้หญิงน่ะ คบกับมันเพราะตัวมัน ไม่ใช่รถที่ขับ อุ๋มก็รู้นะว่าเอมี BM เพราะว่าอุ๋มน่ะ เคยขับรถชนกับรถของดี แล้วระหว่างรอประกันอยู่น่ะ เอก็ขับ BM มาหาดี อุ๋มก็เห็น

ครือ.......ไอ้เอเนี่ย ขับมิตซูบิชิเเชมป์ พ่อเค้าก็ขับเเชมป์เหมือนกัน (บ้านเอไม่ได้มีฐานะ เป็นชนชั้นกลาง เงินเดือนที่เอได้น่ะ น้อยกว่าเราเกือบครึ่งเลยล่ะ) เเล้วคนท่าทางเจ้าชู้เเบบนี้อ่ะนะ มี BM จะไม่ขับ ไม่มีทางซะล่ะ แถมดีเคยขับรถชนกะอุ๋ม เอาที่ไหนมาพูด อุ๋มน่ะเคยขับรถชนเเค่สองครั้ง ครั้งนึงชนกับรถเมล์ ครั้งนึงชนกับหมา ถ้าเคยชนกับดีจริงๆ ดีเป็นคนขับรถเมล์ หรือว่าเป็นหมาล่ะ

เราก็บอกเจไปว่า เเต่ที่เอเคยบอกเราน่ะ เค้าบอกว่าเจมาชอบเค้านะ (มาชอบเเต่เค้าไม่ได้คิดอะไร) เจก็บอกว่าไม่มีทาง เจไม่ได้ชอบ แล้วเจรู้รึป่าวว่ามันไม่ได้ไปเบลเยี่ยมจริงๆ บลาๆๆๆๆ

เท่านั้นเเหละขอเบอร์โทรสับคุยกันซะเลย เม๊าท์กันเป็นชั่วโมงๆ เรื่องความตอเเหลของไอ้เอนี่เเหละ

เหมือนว่าเราสองคนจะโดนมันหลอกทั้งคู่อ่ะ ตอเเหลได้อีก พูดกะเราอย่าง พูดกะเจอย่าง ใส่ร้ายเราสารพัดเราไม่รู้ว่าที่สรุปเราสองคนได้มาคุยกันเนี่ย เพราะว่ามันเห็นว่าไม่ได้ทั้งสองคนเเล้วรึป่าว ก็เลยขอล้างเเค้นหน่อย ให้มันมาคุยกันซะเลย

จากนั้นเราก็ไปคุยกะหมี หมีบอกว่าไอ้เนี่ย มันเจ้าชู้จะตาย นิสัยก็ไม่ดี (เเต่หมีไม่ได้บอกนะว่าไม่ดียังไง) เราก็บ่นหมีว่าถ้ารู้เเล้วทำไมไม่บอก ไม่เตือนกัน หมีบอกว่า ถ้าบอกจะเชื่อมั้ยล่ะ ดีไม่ดีหาว่าหมีใส่ความอีก (เพราะว่าหมีก็บอกว่าชอบเราอยู่) เออ....ก็จริงอย่างที่หมีว่า ถ้าคนที่ชอบเราอยู่มาบอกว่า อีกคนนิสัยไม่ดี ใครจะเชื่อฟะ

เราก็เลยแบน ไม่คุยกะเออีกเลย

ตอนเลิกกันใหม่ๆ มันเคยส่งเพลง น้ำลาย ของ silly fool มาให้เราด้วยนะ ตามเนื้อหาก็นั่นเลย หาว่ามันไม่ดีเพราะฟังขี้ปากคนอื่นมา เเต่มาตอนนี้....รู้ซึ้งเลยว่ะ มันไม่ดีจริงๆน่ะเเหละ

เวลาผ่านไปหลายปีดีดัก มีผู้หญิงคนนึงมาแอดเอ็มเรา ชื่อว่า "มด" คุยกันได้สองวัน มดก็บ่นเรื่องแฟน ว่าแฟนเค้าน่ะ ชอบเปรียบเทียบเค้ากะเเฟนเก่า หาว่าเค้าดีสู้แฟนเก่าก็ไม่ได้ สวยก็สู้เเฟนเก่าไม่ได้ แฟนเก่าดีทุกอย่าง เป็นนางฟ้าาาาาา มดรักแฟนมากนะ เเต่ไม่ไหวเเล้ว บลาๆๆๆๆ เราก็ปลอบๆเค้าไป

วันต่อมา มดบอกเราว่าเรื่องแฟนมดที่พูดถึงเนี่ย คือ เอ เอน่ะ เปรียบเทียบมดกะบุ๋นทุกอย่าง แถมบอกว่ายังรักบุ๋นอยู่ มดไม่ไหวเเล้ว มดจะไปเเล้วนะ ฝากดูแลเอด้วย

.........
........
........

อะไรฟะเนี่ย ผ่านไปหลายปีเเล้ว ยังมีเรื่องอีตาคนนี้มาให้เราไม่จบไม่สิ้นเสียที หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป เราก็เข้าไปดูใน hi5 เอ เราก็ได้เห็นว่า มด เนี่ย มีน้องสาวคนนึง ซึ่งก่อนหน้าที่มดจะแอดเอ็มเราน่ะ น้องสาวมด เค้ามาแอดเราก่อน เคยคุยกันบ้าง เเต่ไม่ได้มีอะไร

ด้วยความงงๆงวยๆ เลยคาดการณ์ (เอาเอง) ว่า น้องสาวมด คงมาลองคุยกะเราดูก่อน อาจจะมาสืบมาอะไรซักอย่าง เเล้วหลังจากนั้นมดก็มาคุยกะเรา

เเต่....มันเป็นขบวนการอะไรรึป่าวฟะ แบบว่าวางเเผนกันเพื่อที่จะทำให้เรารู้สึกว่า เอยังรักเราอยู่ กลับไปหาเอดีกว่า

คิดมากยิ่งปวดหัว ก็เลยไม่สนใจละ

เเต่ที่ขำก็คือ ที่ไอ้เอมันบอกเจว่าบุ๋นมีแฟนใหม่ขับ BM เนี่ย มันก็ถูกนะ (สงสัยเอมันจะเป็นหมอดู) เพราะว่าพัฒน์ขับ BM อ่ะ เเต่ว่าเราไม่ได้ทิ้งเอไปหาพัฒน์นะ เพราะเลิกกับเอไปหลายเดือนเเล้ว เราถึงเริ่มคุยกะพัฒน์แบบจริงจัง

จบดีกว่า

สมุดบันทึกช่วยจำ แหลกว่านี้มีอีกมั้ย (บทนำ)

เมื่อวานนั่งเล่นนอนเล่น อยู่ดีๆก็นึกถึงเรื่องของ แฟนเก่า ขึ้นมา นึกแล้วก็ขำ (แต่ตอนนั้นมันขำไม่ออกหรอกนะ) นึกๆไป รู้สึกว่า บางส่วนเราเริ่มลืมๆไปซะเเล้ว ก็เลยเอามาเขียนไว้ดีกว่าเป็นบันทึกช่วยจำ จะได้ไม่ลืม คนอาไร้ โกหกได้อีกอ่ะ

ย้อนไปสมัย 8 ปีที่แล้ว เราเพิ่งเข้าเรียนป.โทใหม่ๆ ชีวิตทุกวัน ผ่านไปอย่างน่าเบื่อ ยังไม่มีเพื่อนสนิท กับเพื่อนเก่าๆก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะเริ่มทำงานทำการ ชีวิตเด็กมีปัญหาอย่างเรา ก็เลยหันหน้าเข้าหา....อินเตอร์เน็ต

เราเริ่มสมัคร ICQ และเริ่ม chat กับเพื่อนใหม่ๆ เราได้รู้จักกับ "หมี" (นามสมมติ) หนุ่มนักศึกษาคณะวิศวกรรม มหาลัยรัฐแห่งหนึ่ง เราก็คุยเล่นกันเเหละ เจอหน้ากันบ้าง ไปกินข้าว กินไอติมกันบ้างตามประสาที่เราว่าง (ไม่ได้คิดอะไรเลยนะ เพื่อนกัน) หลังจากเรียนป.โทเนี่ย เราโมดิฟายตัวเองพอสมควร จากดักแด้ ตอนนี้กลายเป็นผีเสื้อ (ล่ะมั้ง) ใครๆก็ชมว่าสวย หน้าตาดี (เเต่ลึกๆเราว่าเค้าชมตามมารยาทมากกว่า เพราะเราไม่เคยคิดว่าตัวเองดูดี แต่ทำไม๊ทำไมชมกันจัง) ด้วยความข้องใจ ก็เลยเอารูปไปลงในเวบ Sanook (พวกโหวต sticker น่ะ) กะว่าถ้าที่เค้าชมๆกันน่ะ เป็นเรื่องจริง มันก็ต้องมีคนมาชมเรา ถ้าหน้าตาไม่ดี เดี๋ยวก็มีคนมาด่า จะได้รู้ไปเลยว่าตกลงเราดูดีจริงๆเหรอฟะ

พอลงรูป เราก็ได้รู้จักหนุ่มคนนึง ขอตั้งชื่อว่า "เอ" เค้ามาเม๊นต์ให้เราบ่อย จนตอนหลังเราถึงรู้ว่าเค้าเป็นเพื่อนกับหมีนั่นเอง พอรู้ว่าเป็นเพื่อนกับหมี เราก็เลยคุยด้วย แล้วเริ่มนัดเจอกัน เอเป็นคนปากหวาน โรแมนติกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เราก็เลยเริ่มรู้สึกดีๆด้วย

เราเจอเอ ตัวเป็นๆ ครั้งแรกตอนเดือนธันวา สมัยก่อนเราจะให้คนที่มาจีบ มาส่ง มารับที่บ้าน เพราะเราอยากให้เค้ารู้ว่าบ้านเราเป็นยังไง ฐานะเป็นยังไง ถ้าคิดว่ารวยหรือจนเกินไป เค้าจะได้ไม่ต้องมายุ่งกะเราอีก (คิดอะไรแปลกๆเนอะ) พอเอรู้ว่าบ้านเราอยู่ไหนนะ โอ้โห แบบมาบ่อยมาก เอาดอกไม้มาวางไว้หน้ารถเรามั่งล่ะ มาจอดรถหน้าบ้านเเล้วโทรให้เราเปิดหน้าต่างมาเจอมั่งล่ะ (น้ำเน่าได้อีก) เเล้วเด็ดสุด วันวาเลนไทน์นะ คืนวันที่ 13 เอาดอกทิวลิป 1 ดอก มาวางไว้ในตู้จดหมายบ้านเรา เเล้วโทรให้เราลงไปเอา เเล้วก็บอกให้เราเปิดวิทยุ เค้าโทรไปขอเพลง "ไม่บังเอิญ" ให้เรา (ขอบอกว่าปลื้มมากกกก) พอวันที่ 14 นะ เอาช่อทิวลิปช่อใหญ่มาวางหน้าบ้านอีก เเล้วยังไม่ไป รอเราอยู่หน้าบ้าน เรายืนคุยอยู่แป๊ปนึง พ่อแม่กลับมา เค้าก็เลยให้เข้าไปคุยกันในบ้าน น่านนนน พ่อแม่เลยรู้จักนายเอกันหมด

นายเอเข้าทางคุณแม่สุดฤทธิ์พอโทรมาที่บ้าน ถ้าแม่รับจะต้องชวนแม่คุย คุณแม่ค๊าบๆๆๆ (แม่เราชอบอ่ะ) ต่อมา นายเอมีงานบายเนียร์ (อย่างที่รู้ เราเรียนลบส จริงๆ เรากะเอ รุ่นเดียวกันนะ เเต่ว่าเค้าเอ็นท์ช้ากว่าเรา) เค้าขอให้เราไปกะเค้า เรื่องอะไรเราจะไป ไม่ได้เป็นแฟนกันนี่หว่า เลยบอกว่า ไปขอแม่ซิ ถ้าแม่ให้ เราจะไป ............คิดว่าอะไรจะเกิดคะ เเน่นอน นายเอโทรคุยกะเเม่ ขออนุญาตพาเราไปงานบายเนียร์ คุณเเม่เห็นว่าน่ารักขนาดนี้เข้าตามตรอกออกทางประตู ก็เลยอนุญาต เราก็เลยไปงานบายเนียร์กะเค้า

เวลาผ่านไป วันที่ 14 มีนา (จำเเม่น อิอิ) เค้าไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ เเล้วโทรมาหาเรา เล่นกีตาร์ กับร้องเพลง ไม่ขอให้เป็นเหมือนใคร ของศิรศักดิ์ให้เราฟัง เเล้วก็ขอเป็นแฟน อยากบอกว่าเขินมากกกกก เกิดมาไม่เคยมีใครบอกรัก ไม่มีใครขอเป็นแฟน หรือเอาดอกไม้มาให้มาก่อนเลยวุ้ย ก็เลยตอบตกลง ซึ่งนั่นเเหละ คือ จุดเริ่มต้นของเรื่องที่จะเขียนในวันนี้ (เกริ่นมายาวเนอะ)

โดยบุคลิกนายเอก็จะดูเจ้าชู้และกะล่อนนิดๆอยู่เเล้ว เเต่เราไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ยอมรับตรงๆว่าเป็นแฟนคนแรกเลยยังไม่ได้คิดว่าจะจริงจังเท่าไหร่ ลองๆคบกันดู คบไปได้เดือนนึง หมีก็โทรมาหาเรา (จริงๆ ปกติหมีก็โทรมาเรื่อยๆนะ)

"วันนี้บุ๋นมานั่งเรียนกะเอเหรอ"
"ป่าว เราก็ไปเรียนของเราซิ ทำไมเหรอ"
"อ้าว เหรอ ก็เราเห็นเพื่อนๆมันบอกว่าวันนี้เอมันพาสาวมานั่งเรียนด้วย ตัวดำๆ พอดีว่าชั้นไม่ได้เข้าเรียนน่ะ เลยนึกว่ามันพาเธอมาซะอีก ว่าจะโทรมาแซวซะหน่อย"
"...."

เป็นเรื่องซิคับ เราก็วีนเเตกเลย บอกเลิกด้วย ทำกันอย่างงี้ได้ไง เราไม่รับโทรสับเลยนะ เอก็เลย...บุกมาที่บ้าน วันนั้นเป็นวันหยุด พ่อกะเเม่อยู่ เราไม่อยากให้เค้ารู้ว่าทะเลาะกัน ก็เลยต้องชวนเค้าเข้ามาในบ้านเเล้วนั่งเคลียร์กัน (ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่นะ เราจะไม่ลงไปเจอหน้าด้วยซ้ำ)

เอบอกว่า ผู้หญิงคนนั้น ชื่อน้อง "เจ" เป็นเด็กทำมะสาด คณะเดียวกับเราด้วย เป็นเพื่อนกันไม่ได้มีอะไร น้องเค้าเหงา ว่างๆก็เลยเเวะมา น้องเค้ามีแฟนเเล้วนะ บลาๆๆๆๆ แล้วก็บอกเราว่าถ้าไม่เชื่อจะให้คุยกะเจ เจเค้าพร้อมจะเคลียร์เพราะว่ามันไม่ได้มีอะไรจริงๆ อืม.......เราก็เลยใจอ่อน กลับไปดีด้วย

พอดีด้วยได้ซักพัก เราก็เริ่มรำคาญเอ เพราะเอชอบตามเราไปทุกที่ เราไปทานข้าวกับญาติๆ เค้าถามว่าร้านไหน เเล้วก็ขับรถมาจอดที่ร้าน โทรให้เราออกไปเจอหน้าเเว๊บนึง บอกว่าคิดถึงเเล้วก็ไป เราไปกินข้าวกับเพื่อนที่เซนทรัล เดินๆอยู่เราเดินเจอเอในเซนทรัลซะงั้น เหมือนกับว่าเค้าแอบตามเรายังไงไม่รู้อ่ะ เราเริ่มกลัวๆ

ประกอบกับเราเช็คเมล เเล้วก็พบว่า เมลที่เอส่งให้เราโดนเปิดอ่าน (เหมือนโดนใครเเอบเข้าเมลเรา) ซึ่งเราจำได้ว่า เอเคยเล่าให้เราฟังว่า เอเคยแฮ๊กเมลแฟนเก่า เเล้วเห็นว่าแฟนเก่ามีกิ๊ก พอเรื่องราวมันรวมกันเข้าเราก็รู้สึกว่าไม่ไหวเเล้ว ชั้นต้องการความเป็นส่วนตัว มาตามชั้น มาแฮ๊กเมล ทนไม่ไหวเเล้ว เราก็เลยบอกเลิก สรุประยะเวลาที่คบกับเอ ทั้งหมด 3 เดือน

ตอนบอกเลิกเค้าก็บอกว่าเค้าไม่ได้ทำ เค้าถามว่ามีใครรู้รหัสเราบ้าง เราบอกว่ามีอุ๋มคนเดียว เค้าก็บอกว่าอุ๋มนั่นเเหละ น่าสงสัย (อุ๋มไม่ชอบเอมากๆๆๆๆ ซึ่งข้อนี้เอก็รู้) เเต่เราเชื่อใจอุ๋ม ไม่สนใจสิ่งที่เค้าแก้ตัว สุดท้าย ก็จบกันนั่นเเหละ

Monday, January 18, 2010

เที่ยวกะเด็กๆ @ ภูลังกา

เพิ่งกลับจากไปเที่ยวกะน้องๆ ที่ทำงาน (เด็กกว่าเราซักห้าปีล่ะมั้ง) แต่หน้าก็ยังเนียนๆ เหมือนรุ่นเดียวกันใช่ม๊า 5555 ถ่ายรูปแบบขำๆกัน เลยเอามาลงซะหน่อย